1. เข้าใจการทำงานของดอกเบี้ยทบต้น
ดอกเบี้ยทบต้นถือได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของการลงทุนระยะยาว เป็นดังเสมือนเข็มทิศของการเดินทางไกลในป่าลึก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญเรื่องแรกที่ต้องทำความเข้าใจถึงกระบวนการทำงานของดอกเบี้ยทบต้นว่า ประกอบด้วยตัวแปรอะไร มีการทำงานอย่างไร และทำให้เงินลงทุนของเราเพิ่มขึ้นได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้จะเป็นหมากตัวแรกของการเข้าไปกำหนดกลยุทธ์ในการคัดเลือกหุ้นด้วยตัวเอง
เมื่อใดที่เราสับสน หลงทาง หรือไม่มั่นใจในการตัดสินใจใดๆ ให้เรากลับมามองที่ดอกเบี้ยทบต้นต่อปีที่เราตั้งไว้เป็นเป้าหมายแรกตั้งแต่เริ่มลงทุน และพิจารณาดูว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้น สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ซึ่งจะทำให้เรามีสติและกลับมาเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง
ตัวแปรหลักของดอกเบี้ยทบต้นจะประกอบไปด้วย เงินลงทุนเริ่มต้น ระยะเวลา เงินสุดท้ายที่จะได้รับ ซึ่งทั้งหมดนี้จะมีความสอดคล้องกันทั้งหมด และคือสิ่งที่ต้องพิจารณาตั้งแต่แรกตอนตั้งเป้าหมายก่อนเริ่มลงทุน
2. มีเป้าหมายชัดเจน ไม่เปลี่ยนไปมา
การกำหนดเป้าหมายแบบนี้จะทำให้เราต้องกลับมาทบทวน รูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และรุปแบบชีวิตที่ต้องการในอนาคตของตัวเราเอง ตรงนี้ถือได้ว่าเป็นจุดตัดสำคัญ ที่ทำให้เป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และเป้าหมายนี้แหละที่จะเข้าไปกำหนดกลยุทธ์สำคัญๆในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น การเลือกหุ้น ราคาที่จะซื้อ ราคาที่จะขาย ระยะเวลาที่จะถือ อีกทั้งเป็นที่มาที่ไปของแนวคิดการลงทุนในหุ้นระยะยาว ที่ทุกคนต้องเรียนรู้และตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองเท่านั้น
3. มองการซื้อหุ้น เหมือนการทำธุรกิจส่วนตัว
ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เรียกว่า “หุ้น” นั้น ถูกวางตำแหน่งไว้ให้สามารถทำการซื้อ-ขายได้ หลากหลายรูปแบบ และค่อนข้างอิสระ หุ้นตัวเดียวกัน คนหนึ่งอาจจะซื้อตอนเช้า ขายออกตอนเย็น อีกคนอาจซื้อวันนี้ ขายออกพรุ่งนี้ บางคนอาจขายเดือนหน้า บางคนอีกสิบปีถึงจะขาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กลยุทธ์ในการลงทุนในหุ้นนั้นมีได้หลากหลายรูปแบบ นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระว่าจะใช้วิธีการไหนในการลงทุน
ดังนั้นจึงขอแนะนำว่า ก่อนที่เราจะควักเงินในกระเป๋าเพื่อจะซื้อหุ้นสักหนึ่งตัวนั้น ให้มองว่าเรากำลังจะเริ่มสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมา 1 ธุรกิจ และมีอะไรที่เราจะต้องคำนึงบ้างเช่น ถ้าเราจะลงทุนทำร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็นขึ้นมาหนึ่งร้าน เราจะต้องพิจารณาว่า จะขายที่ไหน(ทำเล) ขายให้ใคร เน้นเมนูอะไรเป็นตัวเรียกแขก จะโฆษณาร้านอย่างไรให้เป็นที่รู้จัก เป็นต้น
ดังนั้นก่อนการจะซื้อหุ้นสักตัวก็เช่นกัน มีอะไรที่ท่านจะต้องรู้เกี่ยวกับธุรกิจนั้นๆบ้าง เช่น บริษัททำอะไร รายได้หลักมาจากสินค้าอะไร มีโอกาสทำกำไรมากน้อยแค่ไหน อนาคตจะเป็นอย่างไร และอีกหลายประเด็นที่จะต้องคำนึงถึง โดยให้ทำตัวราวกับว่าท่านจะต้องนำเงินที่หามาด้วยความยากลำบากไปซื้อบริษัทนี้ทั้งบริษัท
การทำกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาหนึ่งร้าน ไม่ใช่ว่าเราจะเลิกขายตอนไหนก็ได เราอาจติดสัญญาเช่าที่ล่วงหน้า 5 ปี เงินทุนก็ต้องไปจมกับตรงนั้น เราจะมีวิธีทำให้ร้านก๋วยเตี๋ยวคุ้มค่าเช่าและทำกำไรได้อย่างไร หากเรานำวิธีคิดแบบนี้มาใช้ตอนที่จะเข้าซื้อหุ้นสักตัว ก็จะทำให้การคัดเลือกหุ้นเป็นไปด้วยความรอบคอบมากขึ้น
4. รู้ว่าอะไรคือความได้เปรียบของธุรกิจ
ปัจจุบันในตลาดหุ้นไทยมีธุรกิจ 8 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก และแต่ละกลุ่มก็ประกอบไปด้วยธุรกิจที่หลากหลายให้เลือกลงทุน ประเด็นสำคัญคือ เราไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ทุกบริษัท ดังนั้นบริษัทที่เราเลือกจะต้องมีความพร้อมที่จะฝ่าฟันทุกวิกฤติและอุปสรรคทุกประเภทตลอดระยะเวลาที่เราถือครองหุ้น สิ่งเดียวที่จะเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจได้ก็คือ “ความได้เปรียบ ในการแข่งขัน” ของธุรกิจนั้นๆ เป็นสิ่งแรกที่เราต้องมองหาในกระบวนการคัดเลือกหุ้น เพราะหากธุรกิจไม่มีความได้เปรียบในการแข่งขันแล้วไม่แนะนำเราให้ค้นหาข้อมูลใดๆต่อ (เหมือนสอบเลื่อนชั้นไม่ผ่าน)
ความได้เปรียบของนกก็คือปีก ทำให้มันสามารถบินได้ ความได้เปรียบของปลาก็คือครีบและระบบหายใจทำให้มันดำรงชีวิตในน้ำได้ เช่นเดียวกับธุรกิจทุกประเภทในโลกนี้ที่มีลักษณะของความได้เปรียบที่แตกต่างกัน
หน้าที่สำคัญของเรามีอยู่สองอย่างคือ ต้องมองให้ออกว่าธุรกิจที่เราสนใจนั้นจัดอยู่ให้ประเภทอะไร(แยกปลากับนก) จากนั้นก็มองหาความได้เปรียบของมัน (ปีกหรือครีบแข็งแรงแค่ไหน)
5. ความคงทนของความได้เปรียบต้องชัดเจน
หากเริ่มต้นจากแนวคิดการลงทุนในหุ้นเปรียบกับการทำกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาหนึ่งร้าน การเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวที่มาพร้อมกับสัญญาเช่าพื้นที่ระยะ 5 ปี เราต้องมีความมั่นใจสูงมากๆว่าร้านนี้จะไม่ทำให้เราเจ๊ง สูญเงิน อีกทั้งต้องทำกำไรได้ด้วย
เช่นเดียวกัน การลงทุนในหุ้นระยะยาวนั้น นอกจากการมองเห็นความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว ยังจะต้องมองให้ออกว่าความได้เปรียบที่มีอยู่แล้วนั้นมีแนวโน้มความคงทนของความได้เปรียบนั้นๆเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า มันจะลดลง คงเดิม หรือเพิ่มขึ้น เพราะความคงทนของความได้เปรียบในการแข่งขันจะเป็นปัจจัยหลักในการที่จะทำให้เราถือหุ้นได้ในระยะยาวแบบกินอิ่ม นอนหลับ อีกทั้งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการเพิ่มขึ้นของมูลค่าราคาหุ้นของบริษัทในอนาคต
อาจกล่าวได้ว่าบริษัทที่มีความคงทนของความได้เปรียบในการแข่งขันนั้น ไม่ว่าจะเจอสภาพเศรษฐกิจเลวร้ายขนาดไหนก็ไม่สามารถฆ่าบริษัทนี้ให้ล้มตายลงได้
6. ใส่ใจกับความปลอดภัยให้มากๆ
รถที่เราขับจะต้องมีกันชน เวลาเรานั่งรถก็ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย หรือใส่หมวกกันน็อค แต่อุบัติเหตุก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นแม้ว่าเราจะรู้และเข้าใจรอบด้านในธุรกิจที่เราลงทุนเป็นอย่างดี สิ่งที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ เราจึงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อลดความเสียหาย ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด จากมากให้เหลือน้อย จากน้อยให้หมดไป
กรณีน้ำท่วมปี 2554 หรือวิกฤติจากโรคระบาดโควิด19 ในช่วงที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษที่ไม่มีใครคาดคิด หลายธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง หากเราเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทที่เจอวิกฤติน้ำท่วมช่วงนั้น และเราใส่ใจพิจารณาเรื่องความปลอดภัยตั้งแต่ตอนเข้าซื้อ โอกาสที่พอร์ตการลงทุนของเราจะเสียหายหนักก็จะเบาบางลงไป
แนวทางในการสร้างความปลอดภัย ให้กับการลงทุนนั้น มีแนวคิดหลักๆอยู่ 3 ประการคือ
– พิจารณาจากราคาที่เหมาะสม
– พิจารณาจากการคาดการณ์กำไรระยะยาว
– พิจารณาจากสัดส่วน ROE และ PE
7. เข้าใจสัดส่วนทางการเงินเท่าที่จำเป็น
สัดส่วนทางการเงิน เป็นตัวประกอบสำคัญที่จะทำให้เรามองเห็นภาพรวมของธุรกิจที่ผ่านมาชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะจะแสดงออกมาในรูปของตัวเลข(ปริมาณ) ทำให้เรารู้ได้ทันทีว่าที่ผ่านมาธุรกิจมีผลงานอย่างไร มีจุดแข็ง จุดอ่อน ตรงไหน อะไรที่มีแนวโน้มดีขึ้น อะไรที่มีแนวโน้มแย่ลง
ปัญหาคือสัดส่วนทางการเงินมีเยอะแยะมากมาย และสิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่าสัดส่วนทางการเงินตัวไหนที่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจและมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน
คำแนะนำคือ ให้เรานำสัดส่วนทางการเงินแต่ละตัวมาเรียงต่อกันเป็นแนวโน้ม ย้อนหลังราว 4-5 ปี ขึ้นไป เพื่อให้มองเห็นเป็นภาพวิดีโอต่อเนื่อง และต้องเข้าใจว่าสัดส่วนทางการเงินตัวไหน ควรมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น ลดลง หรือคงที่ ถึงจะเรียกว่า “ดี”
ประเด็นสำคัญของสัดส่วนทางการเงินคือ เราต้องไม่ลืมว่าตัวเลขทั้งหมดคืออดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่สิ่งที่จะชี้วัดความสำเร็จของการลงทุนได้นั้นคือ “อนาคต” ของธุรกิจ ดังนั้น แนวทางที่แนะนำคือ ก่อนที่เราจะทำการพิจารณาสัดส่วนทางการเงินของธุรกิจใดๆก็ตาม ธุรกิจจะต้องผ่านเงื่อนไข “ความคงทนของความได้เปรียบในการแข่งขัน” มาก่อน ถึงจะพิจาณาสัดส่วนทางการเงินเพิ่มเติมได้
(สัดส่วนทางการเงิน = กระจกมองหลัง / ความคงทนของความได้เปรียบ = กระจกหน้า)
8. มุ่งเน้น โฟกัสด้วยปริมาณหุ้นที่เหมาะสม
การประกอบกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวหากสาขาแรกยังไม่ประสบความสำเร็จแล้วไปเร่งเปิดสาขาที่สอง เราคงต้องแบกภาระ ทรัพยากร แรงกาย แรงคน ที่เพิ่มขึ้น จนอาจประสบปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น นำไปสู่การปิดกิจการได้ง่ายๆ การลงทุนในหุ้นระยะยาวก็เช่นกัน หากเราลงทุนในหุ้นที่มากตัวจนเกินไป จะนำมาซึ่งปัญหาไม่สามารถติดตามข้อมูลได้ทั่วถึง ความเข้าใจในหุ้นแต่ละตัวไม่มากพอ ส่งผลให้การตัดสินใจโดยรวมผิดพลาดมากขึ้น ในทำนองเดียวกันหากเรามีหุ้นน้อยตัวเกินไปเช่น เงินลงทุนทั้งหมดลงไปในหุ้นเพียงหนึ่งตัว เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็อาจทำให้เราสูญเงินทั้งหมดได้
แนวทางในการสร้างพอร์ตลงทุนระยะยาวที่มีจำนวนหุ้นที่เหมาะสมดังนี้
1.หาหุ้นตัวแรกด้วยความใส่ใจ ทุ่มเท ไม่ยอมแพ้ต่อการหาข้อมูลของธุรกิจที่สนใจ เทคนิคในขั้นตอนนี้คือ ให้คิดว่าหากเราสามารถซื้อหุ้นได้เพียงตัวเดียวด้วยเงินทั้งหมด แล้วไม่สามารถขายออกได้เลยเป็นระยะเวลา 10 ปี เราจะซื้อหุ้นของกิจการอะไร
2.กลับไปทำขั้นตอนข้อ 1 อีกครั้งโดยตัดชื่อบริษัทที่ได้จากข้อ 1 ออก พอทำขั้นตอนนี้เสร็จเราจะได้รายชื่อบริษัทที่สนใจจำนวน 2 บริษัท
3.กลับไปทำขั้นตอนข้อ 2 อีกครั้งโดยตัดชื่อบริษัทที่ได้จากข้อ 1 และ 2 ออก พอทำขั้นตอนนี้เสร็จเราจะได้รายชื่อบริษัทที่สนใจจำนวน 3 บริษัท
4.กลับไปทำขั้นตอนข้อ 3 อีกครั้งโดยตัดชื่อบริษัทที่ได้จากข้อ 1 2 และ 3 ออก พอทำขั้นตอนนี้เสร็จเราจะได้รายชื่อบริษัทที่สนใจจำนวน 4 บริษัท
5.กลับไปทำขั้นตอนข้อ 4 อีกครั้งโดยตัดชื่อบริษัทที่ได้จากข้อ 1 2 3 และ 4 ออก พอทำขั้นตอนนี้เสร็จเราจะได้รายชื่อบริษัทที่สนใจจำนวน 5 บริษัท
หากต้องการปริมาณหุ้นในพอร์ตมากกว่านี้ก็ให้ทำขั้นตอนที่แนะนำซ้ำอีกจนกว่าจะได้ปริมาณหุ้นตามจำนวนที่ต้องการ
ปริมาณหุ้นที่แนะนำในพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมคือ 5 – 10 บริษัท ที่ทำธุกิจแตกต่างกัน (เงินลงทุนมากกว่า 80% จะเน้นหนักในหุ้น 5-10 บริษัทนี้เท่านั้น)
จะเห็นว่าด่านแรกที่เราต้องผ่านไปให้ได้คือการพลิกหินทุกก้อนขึ้นมาดู ปัจจุบันบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยมีจำนวนกว่าหกร้อยบริษัทนั่นหมายความว่าเราต้องทำการศึกษาข้อมูลทั้งหกร้อยบริษัท เพื่อที่จะหาหุ้น ที่ผ่านการประกวดเข้ามาประดับพอร์ตการลงทุนของเราเพียง 5-10 บริษัทเท่านั้น
การศึกษาข้อมูลทั้งหกร้อยบริษัทอาจดูเป็นงานหนัก และเป็นไปได้ยาก แต่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านี่คือวิธีการที่ดีที่สุดในการฝึกฝนอาชีพการเป็นนักลงทุนของเรา อย่างไรก็ดีเราก็สามารถลดขั้นตอนนี้ไปได้ด้วยการกรองหุ้นทั้งหมดด้วยเงื่อนไขที่แตกต่างกันมาพิจารณาเป็นเรื่องๆไป เช่น เลือกเฉพาะธุรกิจที่สนใจจริงๆเท่านั้น หรือ เลือกเฉพาะบริษัทที่มีสัดส่วนทางการเงินเช่น ค่า ROE สูงกว่า 20% ต่อเนื่องกัน 5 ปี เป็นต้น
6. รู้วิธีบริหารจัดการพอร์ตลงทุนในแต่ละช่วงเวลา
ถ้าให้ตอบแบบกำปั้นทุบดินคงจะต้องบอกว่า ในกรณีที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งแล้ว เราสามารถถือหุ้นตัวนั้นไปได้เป็นเวลา 10 ปีเป็นอย่างน้อย โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม เพื่อให้ผลตอบแทนทบต้นได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ หรือสามารถถือหุ้นตัวนั้นไปได้ยาวนานจนกระทั่งความคงทนของความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจนั้นๆมีแนวโน้มลดลง หรือสูญหายไปอย่างถาวร (เรียกอีกอย่างว่าพื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนไป)
คำว่า “ความคงทนของความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจนั้นๆมีแนวโน้มลดลง หรือสูญหายไปอย่างถาวร” นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่นกรณี KODAK, Nokia เป็นต้น และนี่เองทำให้เราจำเป็นต้องติดตามเรื่องราวของธุรกิจที่เราลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (แต่ไม่ใช่การเฝ้าราคาหน้าจอนะครับ)
ยกตัวอย่างเช่น ปี 2560 ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะแกว่งตัวมาต่อเนื่องยาวนาน (Side way) ความเข้าใจในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนแบบพอเหมาะพอควร ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำผลตอบแทนต่อปีเพิ่มขึ้น เช่น เราอาจจะเห็นราคาหุ้นของบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูง มีราคาลดลงจนเกิดความปลอดภัยและคุ้มค่าที่จะเข้าไปลงทุน เราก็อาจจะขายหุ้นที่ทำกำไรได้บางส่วนออกมา เพื่อมาลงทุนต่อในบริษัทนั้นๆ (บนพื้นฐานของความไม่โลภ) เป็นต้น
10. เงินที่จะนำมาซื้อหุ้น ต้องไม่ใช่เงินร้อน
ลืมเรื่องการกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้น ลืมเรื่องการซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้น และอย่านำเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้มาลงทุน วิธีที่ดีคือให้กันเงินสำหรับที่จะใช้ลงทุนแยกต่างหากจากค่าใช้จ่ายอย่างอื่นโดยเด็ดขาด ยุทธวิธีนี้ถือได้ว่าเป็นฟันเฟืองตัวแรกที่จะไปขับเคลื่อนให้ยุทธวิธีของการลงทุนข้ออื่นๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสมบูรณ์
11. อดทน มีวินัย ไว้ใจตัวเอง
กว่าที่ผลตอบแทนทบต้นจะเริ่มทำงานอย่างจริงๆจังๆนั้น จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป ดังนั้นหากเราคิดจะเอาจริงเอาจังในเส้นทางสายนี้ เราจะต้องมี “ความอดทน” ที่มากพอ ความอดทนจำเป็นต่อการถือครองหุ้น ที่เราคัดเลือกมาด้วยตัวเองเป็นอย่างดี ให้ผ่านพ้นในทุกสภาวะตลาด นักลงทุนส่วนมากมักตกม้าตายเพราะไม่สามารถทนเห็นราคาหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ตกลงต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อมาเป็นเวลานานๆ หรือแม้แต่ทนเห็นกำไรที่เคยได้ลดลงทุกวันไม่ได้ ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจขายหุ้นทิ้งตัดวงจรการเติบโตของมูลค่าในระยะยาวไปอย่างน่าเสียดาย
หุ้นตัวหนึ่งนั้น สามารถลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ และในสังคมนักลงทุนนั้นเราจะเจอกับหลากหลายแนวทางการวิเคราะห์ โดยมักจะฟันธงให้เราตัดสินใจซื้อหรือขายอยู่ตลอด ดังนั้นหากเรามีวินัยไม่มากพอ อาจจะทำให้เราไขว้เขวต่อเสียงรบกวนได้ง่ายๆ และทำให้แผนการลงทุนที่เราวางเอาไว้เสียหาย
ในโลกของการลงทุนนั้น คนที่เราจะเชื่อและไว้ใจได้มากที่สุดก็คือตัวเราเอง อย่าลืมว่าเงินลงทุนเป็นของเรา การวิเคราะห์เป็นของเรา แน่นอนผลลัพธ์สุดท้ายไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนก็ย่อมเป็นของเรา ดังนั้นคนที่รับผิดชอบในผลลัพธ์ทั้งหมดก็คือตัวเราเอง
การเชื่อมั่นและไว้ใจตัวเองนั้น จะทำให้ทักษะการลงทุนของเราก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว เหมือนก้อนหิมะที่กลิ้งไปบนลานหิมะ ความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่เราสนใจ ก็จะเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไป และสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสามารถยืนอยู่บนถนนสายนี้ด้วยตัวเราเองอย่างมั่นคง
สรุป
การเริ่มต้นลงทุนหุ้นด้วยตัวเองนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ในการวิเคราะห์หุ้นเป็นพื้นฐาน ซึ่งต้องอาศัยความขยันขวนขวายที่จะอ่านและวิเคราะห์ข้อมูล รวมไปถึงการควบคุมอารมณ์เเละสภาวะจิตใจ ก็มีผลต่อความสำเร็จในโลกการลงทุนไม่น้อยไปกว่ากัน ดังนั้นนอกจากความรู้ความสามารถในการเลือกหุ้นเเล้ว ความมีสติและวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่นิ่งพอ จะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ