PE หุ้นคืออะไร ควรมีค่าเท่าไหร่ ต้องวิเคราะห์อะไรก่อนตัดสินใจบ้าง

PE คืออะไร

PE คือ ตัวชี้วัดความถูกแพงของราคาหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมใช้กัน ซึ่งสามารถหาได้จาก ราคา/กำไรสุทธิต่อหุ้น ( Price / Earning per share)

กล่าวโดยทั่วไป ค่า PE ก็คือระยะเวลาที่กิจการที่เราลงทุนซื้อหุ้น จะสามารถทำกำไรจนถึงจุดคืนทุนได้ เช่น หากหุ้น A มีค่า PE = 5 เมื่อเราซื้อหุ้น A ในวันนี้อีก 5 ปีข้างหน้า กำไรที่หุ้น A ทำได้ในแต่ละปีจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไป(คืนทุน) จนเป็นที่มาของข้อกำหนดง่ายๆว่า เราควรซื้อหุ้นที่ P/E ต่ำกว่า 10 (เลขหลักเดียว) เพราะหมายความว่าหุ้นตัวนั้นมีราคาถูก มีความปลอดภัย ส่วนหุ้นที่มีค่า PE มากกว่า 10 คือราคาแพง ควรรอให้ราคาตกลงมาจนกระทั่งค่า P/E ต่ำกว่า 10 ก่อนถึงค่อยซื้อได้

การสรุปแบบนี้มีจุดบกพร่องอยู่พอสมควร เพราะเราจะเห็นหุ้นจำนวนไม่น้อยที่มีค่า PE มากกว่า 10 หรือแม้กระทั่ง 20 – 30 มีราคาปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าราคาจะลงมาจนกระทั่ง PE ต่ำกว่า 10 เลย โดยมากมักเป็นกิจการที่ดี มีความแข็งแกร่ง กำไรเติบโตสม่ำเสมอ หากเรายึดหลัก PE ต่ำกว่า 10 เราก็อาจพลาดโอกาสเข้าซื้อหุ้นของกิจการดีๆ ที่ควรค่าต่อการเป็นเจ้าของได้

จริงๆแล้วค่า PE ยังมีแง่มุมอีกหลายอย่างที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ต้องต่ำกว่า 10 เท่านั้น และหากเราเข้าใจค่า PE อย่างรอบด้าน ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการซื้อหุ้นของกิจการดีๆ ในราคาที่เหมาะสม รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาวให้มากขึ้นเช่นกัน

บทความนี้จะมีชี้เฉพาะ เจาะลึกในแง่มุมของค่า PE และอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ค่า PE ของหุ้นแต่ละตัวมีค่าแตกต่างกัน จำเป็นไหมที่ต้องซื้อหุ้นที่มีค่า PE ต่ำกว่า 10, หุ้นที่ PE สูงกว่า 10 หรือแม้กระทั่ง 20, 30 ซื้อได้ไหม หากซื้อได้ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร

1. อัตราการเติบโตสูง ค่า PE ก็ยิ่งสูง

กิจการที่อยู่ในช่วงขาขึ้น เช่นกำลังขยายสาขา หรือมียอดสั่งซื้อสูงเพราะสินค่ากำลังเป็นที่ต้องการ ค่า PE จะสูงกว่า ธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตน้อย หรืออยู่ในช่วงขาลง

2. การบริหารจัดการดี ค่า PE ก็ยิ่งสูง

ความสามารถในการจัดการ การแก้ไขปัญหาของฝ่ายบริหาร, การต่อรองราคาวัตถุดิบ หรือแม้กระทั่ง การที่กิจการที่มีอำนาจในการต่อรองเข้าซื้อหรือควบรวมกับกิจการอื่นๆ เช่นโรงพยาบาลใหญ่ๆบางแห่ง ก็มักจะมีค่า PE ที่สูงกว่า

3. กระเเสเงินสดดี ค่า PE ก็ยิ่งสูง

เมื่อกิจการขายของมาได้ และมีเงินสดในการนำไปขยายธุรกิจหรือจ่ายปันผล โดยที่ไม่ต้องนำเงินส่วนนั้นไปลงทุนต่อเพื่อรักษาธุรกิจเอาไว้ โดยมากแล้วกิจการลักษณะนี้จะมีค่า PE สูง

4. คุณภาพของกำไรดี ค่า PE ก็ยิ่งสูง

กำไรที่ได้มา ควรจากการทำธุรกิจหลักของบริษัท เช่น หากบริษัทขายเครื่องเขียน กำไรก็ควรมาจากการขายเครื่องเขียน ไม่ใช่มาจากการขายที่ดินหรือทรัพย์สินบางอย่างออกไป

หรือแม้แต่บางบริษัทอาจทำรายได้และกำไรดีแต่ส่วนใหญ่คือลูกหนี้การค้า หรือให้เครดิตกับลูกค้า ลักษณะนี้มีแนวโน้มที่กิจการจะมีคุณภาพของกำไรต่ำ

5. กำไรสม่ำเสมอ ค่า PE ก็ยิ่งสูง

บริษัทที่ทำกำไรได้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ในแต่ละปี จะมีค่า PE ที่สูงกว่าบริษัทที่ มีกำไรขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งเราสามารถดูได้จากประวัติการทำกำไรย้อนหลัง

วิเคราะห์ค่า PE

6. ระวังการตัดรายการพิเศษ

หากบริษัทมีกำไร หรือขาดทุน ที่เป็นรายการพิเศษ ที่ไม่ได้เกิดมาจากการดำเนินธุรกิจหลัก อาจทำให้ค่า PE ต่ำกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้เข้าใจผิดคิดว่าหุ้นถูก ดังนั้นเราควรตัดกำไรส่วนนี้ออกไปก่อนแล้วค่อยคิดค่า PE ใหม่ เพื่อให้สะท้อนกับความสามารถจริงๆในการทำกำไรของบริษัท

7. ธรรมชาติของธุรกิจ ทำให้ค่า PE เฉลี่ยเเตกต่างกัน

โดยทั่วไป ธุรกิจที่อยู่คนละกลุ่มอุตสาหกรรมกัน ค่า PE จะแตกต่างกัน เช่น กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม หรือ OEM จะมีค่า PE ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกหรือ Modern trade หรือแม้กระทั่ง กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) หากเรามองในช่วงภาวะปกติที่บริษัททำรายได้และกำไรได้ดี ค่า PE ก็จะต่ำ เป็นต้น

8. การกู้ยืม ทำให้ค่า PE ต่ำ

กิจการที่ขยายสาขา ทำรายได้และกำไรได้เพิ่มขึ้น จะนำมาซึ่งเงินปันผลที่ดี โดยมากแล้วกิจการลักษณะนี้จะมีค่า PE ที่สูง ซึ่งตรงกันข้ามกับกิจการที่ต้องการขยาย แต่ขาดเงินสด สุดท้ายจำเป็นต้องเพิ่มทุน หรือไปกู้ยืม แบบนี้ ค่า PE มักจะต่ำ

9. ดอกเบี้ยต่ำ ค่า PE มีโอกาสสูงได้

ข้อนี้ส่งผลเล็กน้อย หากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ ผู้คนส่วนใหญ่มักหาช่องทางการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่า และหนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นการนำเงินมาลงทุนซื้อหุ้น

อีกมุมมองหนึ่ง อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของกิจการต่ำ กำไรของกิจการก็จะดี และมีคุณภาพ ส่งผลให้ค่า PE สูงก็เป็นได้

10. สภาพคล่องต่ำ ค่า PE ต่ำไปด้วย

หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ โดยมากมักจะมีค่า PE ต่ำด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่าการซื้อเข้าขายออกทำได้ยาก นักลงทุนจึงต้องเผื่อส่วนลดกรณีที่ต้องขายไว้พอสมควร ส่วนหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง Market cap ขนาดใหญ่ สถาบันหรือกองทุนทำการซื้อขายได้ มักจะมีค่า PE ที่สูงกว่า

11. ตลาดบูม ส่งผลให้ค่า PE สูง

เห็นได้ชัดเจนตอนช่วงหลังวิกฤติใหม่ๆ เช่นวิกฤติฟองสบู่หรือต้มยำกุ้ง ค่า PE ของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดจะมีค่าต่ำกว่าช่วงตลาดคึกคัก สาเหตุหลักก็เนื่องมาจากความหวาดกลัวของนักลงทุนนั่นเอง

12. เลือกใช้ระหว่าง Trailing หรือ Forward

อย่างที่ทราบกันว่า ค่า PE จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ Trailing PE* หรือ Forward PE*

โดยปกติในการใช้งาน เราควรเลือกใช้ค่า Forward PE ในการตัดสินใจ เช่นหากพบว่าค่า Trailing PE มีค่าสูง แต่ Forward PE มีค่าต่ำ ก็พอจะตีความได้คร่าวๆว่า กิจการนั้นมีกำไรเติบโต

– Forward PE คือ การที่เราคาดการณ์ EPS ไปข้างหน้า เช่นคาดการณ์กำไรล่วงหน้าไป 12 เดือนว่า EPS จะเป็นเท่าไร แล้วนำมาหารกับราคา ตัวเลขที่ได้ก็คือ Forward P/E เป็นการคาดการณ์ในอนาคต ควรใช้ค่านี้ในการตัดสินใจลงทุน

– Trailing PE คือ การนำ EPS 12 เดือนย้อนหลังมาใช้ในการคิด ซึ่งตัวนี้เป็นตัวเดียวกันกับ P/E Ratio ที่อยู่ในเวปไซต์ต่าง ๆ เป็นการบอกเรื่องราวในอดีต

สรุป

สุดท้ายแล้วไม่ว่าค่า PE จะเป็นอย่างไร กำไรที่กิจการจะทำได้คือคำตอบสุดท้ายในการเลือกหุ้นลงทุน ดังนั้นเราควรให้ความสำคัญกับการทำกำไรของบริษัทให้มากๆ และควรฝึกฝนการวิเคราะห์ที่มาของกำไร เช่น ภาพอนาคตของกิจการว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า , อำนาจการเเข่งขันยังดีอยู่ไหม , รายได้จะโตอีกเท่าไหร่ , ต้นทุนมีโอกาสเพิ่มไหม , ค่าจ้างในการบริหารจะเพิ่มขึ้นไหมหรือจะลดลงได้อย่างไร เป็นต้น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *