Passive Income คือ รายได้ที่มาจากทรัพย์สิน และรายได้นั้นจะยังคงอยู่ตราบใดที่ทรัพย์สินนั้นยังทำประโยชน์ได้ โดยการที่เราจะมีรายได้จากทรัพย์สินได้นั้น จุดเริ่มต้นก็ต้องเริ่มจากการที่เรามีทรัพย์สิน หรือสร้างทรัพย์สินนั้น ๆ ขึ้นมาก่อน จากนั้นก็นำทรัพย์สินดังกล่าวไปสร้างรายได้
การมีรายได้ที่เป็น Passive Income ทำให้เราไม่ต้องทำงานตลอดเวลา และลดความกังวลในชีวิตลงได้ แม้ว่าปัจจุบันเรายังมีอาชีพเป็นมนุษย์เงินเดือน เช่น ทำงานประจำเป็นพนักงานบริษัท หรือทำธุรกิจส่วนตัว พูดง่าย ๆ ว่าเรายังมีรายได้ฝั่งที่เป็น Active Income อยู่ แต่เราสามารถวางแผนเพื่อที่จะหยุดพักในระยะยาว โดยการค่อย ๆ สร้างรายได้ที่เป็น Passive Income จนมากพอและครอบคลุมค่าใช้จ่ายประจำ จนรายได้จากแหล่งทรัพย์สินนี้สามารถทดแทนรายได้ที่เราต้องลงแรง ลงเวลา (Active Income) ได้ในที่สุด
Passive Income มีอะไรบ้าง
-
บ้าน คอนโด อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน
ตัวอย่างของรายได้ที่เกิดจากช่องทางนี้ เช่น ค่าเช่า กรณีเราเป็นเจ้าของบ้าน คอนโด รถยนต์ และเปิดบริการให้คนมาเช่า เงินที่ได้รับจากผู้ที่มาเช่า ก็ถือได้ว่าเป็น Passive income รูปแบบหนึ่ง
-
เงินฝาก สลากออมทรัพย์ พันธบัตร หุ้นกู้
รายได้ที่ได้รับจากทรัพย์สินกลุ่มนี้ จะมาในรูปแบบของ ดอกเบี้ย โดยที่จุดเริ่มต้นของการได้มาซึ่งดอกเบี้ยคือ การที่เราเป็นเจ้าของเงิน และเราเอาเงินก้อนนี้ไปฝากธนาคาร หรือ ซื้อสลากออมทรัพย์ ซื้อพันธบัตร หรือ หุ้นกู้ จากสถาบันการเงิน จากนั้นธนาคารหรือสถาบันการเงินก็จะเอาเงินของเราไปปล่อยกู้ หรือลงทุนต่อ และธนาคารหรือสถาบันการเงิน ก็จะจ่ายเงินกลับมาให้เราในรูปแบบของดอกเบี้ย
การสร้าง Passive Income ที่มาจากดอกเบี้ย ถือได้ว่าใกล้ตัวที่สุด หากแต่ว่าผลตอบแทนที่ได้รับนั้นอาจจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายประจำเดือน ในกรณีที่เราต้องการนำรายได้จากช่องทางนี้มาใช้จ่ายประจำ หรือไม่ก็ต้องใช้เงินต้นจำนวนมาก เพื่อที่จะให้ได้ดอกเบี้ยมากพอต่อความต้องการ
-
เงินปันผล
เงินปันผลมีแหล่งที่มาได้จากการที่เราไปซื้อหุ้นปันผล หรือกองทุนรวมที่มีการจ่ายปันผล ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินตามสัดส่วนที่เราครอบครอง เมื่อบริษัทหรือกองทุนรวมที่เรานำเงินไปลงทุน สามารถทำกำไรได้ เขาก็จะจ่ายเงินให้กับเราในรูปแบบของเงินปันผล
เงินปันผลอาจจะได้มาจากการนำเงินไปร่วมหุ้น ลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อน เมื่อธุรกิจทำกำไรได้ ก็จะมีการตัดปันผลจ่ายมาให้เราตอนสิ้นปี หรือตามที่ตกลงกัน ถือเป็นส่วนแบ่งของหุ้นส่วนในกิจการ
-
ค่าลิขสิทธิ์
คือ ค่าตอบแทนในการให้ใช้ผลงาน เป็นการแปลงผลงานที่เราสร้างเอาไว้ ให้กลายมาเป็นตัวสิทธิ์หรือทรัพย์สินที่จะสร้างกระแสเงินสดให้กับเรา เช่น การเป็นเจ้าของงานเพลง คนเขียนหนังสือ หรือ รูปถ่ายที่เอาไปวางขายบนออนไลน์ เป็นต้น รายได้ที่ได้รับจากช่องทางเหล่านี้ถือว่าเป็นรายได้จากลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เราสร้างเอาไว้
อีกรูปแบบหนึ่งของค่าลิขสิทธิ์ที่พบเจอกันมากในยุคปัจจุบันนี้ เช่น การเป็นเจ้าของช่อง YouTube หรือ Facebook ที่มีผู้ติดตามมาก หรือ วิดีโอที่เราลงไปในช่องทาง Social Media ต่างๆ มีคนเข้ามารับชมจำนวนมาก เราก็สามารถมีรายได้จากการเก็บเงินค่าโฆษณา ซึ่งถือว่าเป็นรายได้จากลิขสิทธิ์ที่เราได้สร้างเอาไว้ในรูปแบบของผลงานวิดีโอ
เราจะสร้าง Passive Income ได้อย่างไร ?
หลักการในการสร้าง Passive Income คือ การที่เราสามารถแปลงงานที่เราทำให้เป็นทรัพย์สิน หรือพูดง่าย ๆ คือ ให้เราทำให้งานที่เราทำ 1 ครั้ง สามารถที่จะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า 1 ครั้ง
-
ตัวอย่างที่ 1
ครูสอนคณิตศาสตร์ เปิดติวเด็กนักเรียนเข้ามาหาวิทยาลัย โดยสอนแบบเจอตัวนักเรียน ก็จะได้รับรายได้ตามจำนวนครั้งที่ได้สอน แต่หากครูสอนคณิตศาสตร์คนเดียวกัน อัดวิดีโอการสอนเอาไว้ แล้วนำไปทำเป็นคอร์สออนไลน์ เช่นใน เฟสบุ๊คกลุ่มปิด หรือ เเพลตฟอร์มที่รองรับการสร้างคอร์สออนไลน์ เช่น Teachable เป็นต้น เพื่อให้นักเรียนหลาย ๆ คนเข้ามาเรียนได้ โดยมีการชำระเงินก่อนเข้าเรียน ถือว่า ครูคณิตศาสตร์คนนี้ได้แปลงงานที่ทำ 1 ครั้ง ให้สามารถทำประโยชน์ได้มากกว่า 1 ครั้ง และรายได้ที่ได้รับจากการที่นักเรียนมาเรียนคอร์สออนไลน์ ถือว่าเป็นรายได้ในรูปแบบ Passive Income
โอกาสสร้างช่องทางรายได้เพิ่ม ด้วยธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ ตอนทำมีรายได้ | หยุดทำมีรายได้ | ส่งต่อเป็นมรดกได้
-
ตัวอย่างที่ 2
ช่างภาพคนหนึ่งรับถ่ายรูปงานแต่งงาน หรืองานรับปริญญา ซึ่ง เป็นภาพเหล่านั้นก็คงเป็นที่ต้องการของคนเพียงกลุ่มเดียว นั่นคือคนที่เป็นเจ้าของงานหรือมีรูปในนั้น แต่หากช่างภาพคนเดียวกัน ถ่ายรูปสวยงามทั่วไป เช่น รูปธรรมชาติ ภาพสถานที่ต่างๆ ที่คนทั่วไปสามารถนำไปใช้ได้ โดยที่ช่างภาพคนนี้ นำผลงานที่เขาถ่ายไปลงไว้ในเวบไซต์ขายรูปถ่าย เช่น shutterstock, pixabay เป็นต้น จากนั้นเมื่อมีลูกค้ามาค้นหารูปและทำการซื้อรูปเหล่านี้ไป ช่างภาพคนนี้ก็จะมีรายได้เป็นส่วนแบ่งจากการขายรูปถ่าย ที่เกิดจากการถ่ายภาพครั้งเดียว แต่นำมาทำให้ใช้ประโยชน์ได้มากกว่า 1 ครั้ง
หลักการมองงานที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน และแปลงให้งานนั้นๆ สามารถทำประโยชน์ได้มากกว่า 1 ครั้ง เพื่อสร้างเป็นทรัพย์สินที่สามารถผลิตกระแสเงินสดให้กับเราได้ เป็นหลักการที่เราสามารถนำไปปรับใช้กับการสร้างรายได้ในปัจจุบันได้เลยครับ ลองมองหาดูว่าปัจจุบันงานที่เราทำหรือเกี่ยวข้องอยู่ สามารถเปลี่ยนให้สร้างรายได้ที่เป็น Passive Income ได้อย่างไรบ้าง ?
Passive Income มีเท่าไหร่ถึงจะพอ ?
ให้เราลองจินตนาการดูนะครับว่า หากเรามีรายได้จากทรัพย์สิน เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า ค่าลิขสิทธิ์ ฯลฯ รวมกันแล้ว มากกว่า ค่าใช้จ่ายรวมประจำในแต่ละเดือน เราจะรู้สึกอย่างไร ?
แน่นอนว่าหลายคนคงตอบว่า สบายใจ เริ่มไร้ความกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ถึงแม้ว่าวันนั้นเราอาจจะยังมีรายได้ที่เป็น Active Income เช่น งานประจำ หรือยังทำธุรกิจอยู่ ก็ถือว่าเราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น มีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น มีอิสระทางความคิดมากขึ้น เพราะเราได้ปลดล็อกความวิตกทางการเงิน ที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในชีวิตไปได้แล้ว
ดังนั้น เป้าหมายแรกของการสร้าง Passive Income คือ ให้เราสร้างรายได้จากทรัพย์สิน รวมกันทุกช่องทางแล้วมากกว่า ค่าใช้จ่ายรวมต่อเดือน เป็นหลักหมุดแรกที่เราควรจะไปให้ถึงครับ
เช่น หากทุกวันนี้เรามีค่าใช้จ่ายรวม 50,000 บาทต่อเดือน เราก็ควรตั้งเป้าสร้างรายได้จากทรัพย์สิน ให้ได้มากกว่า 50,000 บาท เป็นเป้าหมายแรกที่ปลายทางไว้ก่อน จากนั้นก็เริ่มมองหาวิธีที่จะสร้างแหล่งรายได้จากทรัพย์สิน ตามช่องทางต่างๆที่ได้แนะนำไปช่วงต้นของบทความครับ
ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ Passive Income มีอะไรบ้าง
-
Passive Income เป็นเรื่องง่าย
คำกล่าวนี้เป็นจริงแค่บางส่วน เช่น กรณีที่เราฝากเงินหรือซื้อพันธบัตร เพื่อรับดอกเบี้ย อาจจะไม่ถือว่ายากมากนัก แต่กรณีที่เราต้องการสร้างรายได้จากทรัพย์สิน ด้วยการ สร้างธุรกิจ ทำอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เราคงต้องศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมและใช้ประสบการณ์พอสมควรในการที่จะประสบความสำเร็จ
การสร้างทรัพย์สินเพื่อก่อให้เกิดรายได้นั้น ไม่ง่ายมากถึงกับว่าไม่ต้องทำอะไรก็ได้รายได้ แต่ก็ไม่ยากถึงกับว่าคนที่ตั้งใจ ศึกษาเรียนรู้แล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ
-
การมี Passive Income ทำให้สบาย ไม่ต้องทำอะไรตลอดชีวิต
ทุกกิจกรรมของการสร้างรายได้จากทรัพย์สิน จำเป็นต้องมีการติดตาม ประเมินผล และตัดสินใจ ตลอด แต่อาจจะไม่ต้องทำบ่อย หรือทำตลอดเวลาเหมือนการทำงานประจำ เช่น หาก เรามีหุ้นปันผล เราก็ต้องคอยติดตามผลประกอบการของบริษัทที่เราลงทุนไป หรือ เราเป็นเจ้าของคอนโดให้เช่า เราก็ต้องคอยบริหารจัดการเวลาผู้เช่าย้ายออก หรือ งานซ่อมบำรุงต่างๆ เป็นต้น
-
Passive Income ดีกว่า Active Income
เราคงไม่ไปตัดสินว่าอะไรดีกว่าอะไร งานที่สร้างรายได้ในรูปแบบ Active Income หลายงาน สร้างคุณค่าทางจิตใจ เป็นสิ่งที่เราหลงใหล ชอบ หรือ มีความสุขที่ได้ทำ หรือแม้กระทั่งในทุกวันนี้เรายังมีรายได้จากการเป็นมนุษย์เงินเดือน หรือธุรกิจส่วนตัวอยู่ และเป็นงานที่สร้างประโยชน์ให้กับสังคม เราก็ทำต่อไป หากแต่เราก็แค่มองหาแหล่งรายได้จากทรัพย์สินเพิ่มเติม เพื่อเป็นล้ออะไหล่ บันไดหนีไฟ ให้กับชีวิต และรองรับชีวิตในยามที่เกิดวิกฤติ เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน
สรุป
การสร้าง Passive Income ให้มากกว่ารายจ่ายรวมในแต่ละเดือน ควรเป็นเป้าหมายแรกในการเริ่มต้นมองหาและสร้างทรัพย์สิน เพราะ ณ จุด ๆ นี้ เป็นจุดที่จะทำให้เราเริ่มต้นมีอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง หากแต่เราต้องพึงระวังการใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ด้วย เพราะหากเรามีนิสัยใช้เงินมือเติบ และไม่รู้จักเก็บออม ซึ่งเป็นพื้นฐานการเงินที่สำคัญของทุกชีวิต เราก็อาจจะเหนื่อยฟรีกับการพยายามสร้าง Passive Income เพราะรายจ่ายรวมของเรามันเพิ่มขึ้นในทุกเดือน และไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น โจทย์สำคัญของชีวิตคือการมีรายจ่ายที่สมเหตุผลในการดำรงชีวิต รู้จักประหยัด มัธยัสถ์ พร้อมๆกับการสร้างช่องทางรายได้จากทรัพย์สินไปด้วย จะทำให้เรามีชีวิตที่มีความมั่นคง และประสบความสำเร็จทางการเงินในที่สุดครับ