สามเหลี่ยมทางการเงินคืออะไร เข้าใจแนวทางวางแผนการเงินให้มั่นคงด้วยตัวเอง

สามเหลี่ยมทางการเงิน

สามเหลี่ยมทางการเงิน หรือ พีระมิดการเงิน เป็นหลักการสากลที่ใช้ในการวางแผนการเงินส่วนบุคคลทั่วโลก โดยจะมีรูปแบบในการวางแผนเป็นรูปพีระมิด ซึ่งจะมีการวางแผนเป็นลำดับขั้น เป็นการจัดการการเงินตามลำดับความสำคัญ เริ่มจากการวางฐานรากให้แน่นหนาก่อน แล้วค่อยขยับขึ้นไปตามลำดับ

ขั้นที่ 1 การจัดการสภาพคล่อง

เป็นพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญที่สุด สภาพคล่องทางการเงินเป็นตัวชี้วัดความสบายใจ ไร้กังวล คนที่มีทรัพย์สินไม่มากนัก แต่สามารถจัดการสภาพคล่องดี มีกิน มีใช้ มีเหลือเก็บ บริหารจัดการหนี้สินได้ ก็สามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยความสบายใจ ต่างจากคนที่มีทรัพย์สินมากมาย แต่ขาดสภาพคล่อง จัดการหนี้สินไม่ได้ ดำเนินชีวิตอยู่แบบชักหน้าไม่ถึงหลัง

โดยทั่วไปเราควรจะมีเงินออมสำรองฉุกเฉินที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายประจำเดือน ประมาณ 3 – 6 เท่า เช่น หากเรามีค่าใช้จ่ายประจำเดือนอยู่ที่ 10,000 บาทต่อเดือน ก็ควรมีการวางแผนเก็บออมเงินส่วนนี้ไว้ที่ 30,000 – 60,000 บาท  แต่จากสถานการณ์โรคระบาดในช่วงที่ผ่านมา สภาพคล่องในส่วนนี้อาจต้องพิจารณาขยับไปถึง 12 เดือน หากเราสามารถออมได้ก็จะยิ่งดี

ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่นำมาวางแผนสภาพคล่องก็จะมีทั้งค่าใช้จ่ายประจำที่เรารู้อยู่แล้วว่าต้องจ่ายแน่ ๆ ในทุก ๆ เดือน เช่น ค่าน้ำไฟ ค่าผ่อนรถ ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น และ ค่าใช้จ่ายผันแปร ที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน แต่เราก็พอประมาณการณ์ได้ว่าแต่ละรายการที่จะจ่าย จะเกิดขึ้นภายในเดือนไหน เช่น ค่าประกันรถยนต์ ค่าตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น ดังนั้นการทำรายการและคาดการณ์รายจ่ายที่ใกล้เคียงความจริง จะทำให้เราสามารถวางแผนและบริหารจัดการสภาพคล่องได้ดี

เราควรเก็บออมเงินในส่วนของสภาพคล่อง ไว้ในที่ ๆ สามารถเอาออกมาใช้ได้ง่าย ๆ ในกรณีฉุกเฉิน แต่อาจจะไม่สามารถคาดหวังผลตอบแทนได้มากนัก เช่น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หรือ กองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นต้น

วางแผนทางการเงิน

ขั้นที่ 2 การโอนย้ายความเสี่ยง

ขั้นตอนนี้เบื้องต้นให้เราประเมินดูว่า ความเสี่ยงแบบไหนที่เราต้องการรับไว้เอง และความเสี่ยงแบบไหนที่เราต้องการโอนย้าย โดย

ความเสี่ยง = โอกาสการเกิด X ขนาดความเสียหาย

หากโอกาสเกิดเยอะ แต่ความเสียหายมีน้อย เช่น มีดบาดจากการเข้าครัว ก็ไม่จำเป็นต้องโอนย้าย แต่ถ้าโอกาสในการเกิดน้อย แต่ความเสียหายเยอะ เช่น การเกิดอุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาล การเกิดโรคร้ายแรง และค่าใช้จ่ายที่จะตามมาในการรักษาจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก แบบนี้ก็ควรโอนย้ายความเสี่ยงโดยอาศัยผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ เป็นต้น

ในการทำประกันโรคร้ายแรง เราอาจจะรู้สึกว่ามันยังไม่มีความจำเป็นเนื่องจากตอนนี้สุขภาพเราก็ยังดีอยู่ หากแต่ประกันสุขภาพ หรือโรคร้ายแรงต่าง ๆ นั้นสามารถทำได้ตอนที่เรามีสุขภาพที่ดีเท่านั้น หากในวันนึงร่างกายเราตรวจพบความผิดปกติอะไรบางอย่าง ประกันอาจจะไม่คุ้มครองในส่วนนั้นก็เป็นได้

โรคร้ายแรงบางโรคสามารถส่งผลกระทบต่อการเงินไม่เฉพาะตัวเรา แต่อาจลามไปถึงคนในครอบครัว เช่น สามี ภรรยา ญาติ พี่น้อง ได้ ดังนั้นการวางแผน จัดการความเสี่ยงในส่วนนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรจัดการเป็นอันดับสอง ต่อจากสภาพคล่อง

หรือแม้แต่ในวันนี้เรายังมีสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลจากหน่วยงาน องค์กร ที่เราทำงานอยู่ แต่เราควรพิจารณาไปถึงวันข้างหน้าด้วยว่า สวัสดิการที่มีอยู่ในวันนี้ จะครอบคลุมในวันที่เราหยุดทำงานแล้วหรือไม่ ดังคำกล่าวที่ว่า สวัสดิการบริษัทเป็นสวัสดิการติดโต๊ะ ไม่ใช่สวัสดิการติดตัว วันใดที่เราไม่ได้ทำงานในองค์กรนี้แล้ว แต่ชีวิตเรายังต้องดำเนินต่อเราก็ควรสร้างสวัสดิการติดตัวเราเองไว้

สวัสดิการบริษัทเป็นสวัสดิการติดโต๊ะ ไม่ใช่สวัสดิการติดตัว

อีกข้อนึงในการโอนย้ายความเสี่ยงด้วยการทำประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพ หากเบี้ยประกันสูงจนเรารู้สึกไม่สะดวกที่จะจ่าย เราอาจพิจารณาโอนย้ายความเสี่ยงเพียงบางส่วนไม่จำเป็นต้องทำที่ความคุ้มครองทั้งหมดที่ควรจะมี โดยสามารถออกแบบให้ประกันคุ้มครองบางส่วน และเราก็รับไว้เองบางส่วนก็ได้ สิ่งสำคัญคือขอให้เราเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นของการวางแผนในการโอนย้ายความเสี่ยงตั้งแต่วันนี้ และบรรจุไว้ในแผนการเงินของเรา

การจัดการการเงิน

ขั้นที่ 3 การวางแผนสำหรับเป้าหมายจำเป็น

เป็นการวางแผนการเงินระยะกลางสำหรับเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ในอนาคต เช่น การวางแผนเกษียณ  การวางแผนการศึกษาบุตร ครอบคลุมไปถึงเป้าหมายระยะสั้นและกลาง เช่น การแต่งงาน ซื้อรถ ซื้อบ้าน เริ่มต้นธุรกิจ ท่องเที่ยว ก็จัดอยู่ในหมวดนี้ โดยการออมในขั้นที่ 3 นี้ ควรเก็บไว้ในรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม เช่น กองทุนรวม เงินฝากประจำ ตราสารหนี้ หุ้นพื้นฐาน ประกันสะสมทรัพย์ ประกันบำนาญ เป็นต้น โดยแยกบัญชีชัดเจนว่าบัญชีนี้ออมไว้สำหรับเป้าหมายอะไร

การวางแผนการศึกษาบุตร เป็นการวางแผนที่เตรียมก็ต้องใช้ ไม่เตรียมก็ต้องใช้ ดังนั้นหากเราได้เตรียมเอาไว้ตั้งแต่วันนี้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ก็จะทำให้สภาวะทางการเงินของเราไม่สั่นคลอน เนื่องจากเราได้วางแผนจัดการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

โอกาสสร้างช่องทางรายได้เพิ่ม

ด้วยธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์

ดูรายละเอียด

ตอนทำมีรายได้ | หยุดทำมีรายได้  | ส่งต่อเป็นมรดกได้

ขั้นที่ 4 การวางแผนการลงทุน

เมื่อเราทำการวางแผนการเงินมาได้ครบทั้ง 3 เป้าหมายที่จำเป็นแล้ว ในขั้นตอนต่อมา คือการนำเงินไปต่อยอดในการลงทุน ตามความสามารถในการจัดการความเสี่ยงของแต่ละคน เช่น การนำเงินไปลงทุนในหุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน ของสะสมต่าง ๆ เป็นต้น

ข้อควรระวัง

สิ่งที่หลายคนมักจะทำผิดพลาดไปจากแนวทางการวางแผนทางการเงินด้วยสามเหลี่ยมทางการเงินนี้ก็คือ การนำเงินออมที่เก็บไว้มาลงทุนเลย ด้วยการคาดหวังผลตอบแทนที่มาก ทำให้เผลอคิดไปว่าเมื่อได้กำไรมาแล้วจะสามารถรวยพลิกชีวิต หรือเปลี่ยนฐานะไปได้เลย ซึ่งอาจเป็นความคาดหวังที่ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จนทำให้ละเลยการวางแผนการเงินทั้ง 3 ขั้นก่อนหน้า นำเงินออมทั้งหมดมาฝากไว้กับการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เมื่อผลการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาด แม้กระทั่งขาดทุน หรือมีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้เงินสำหรับความจำเป็นในขั้นที่ 1-3  เช่น เกิดอุบัติเหตุ โรคร้ายแรง เป็นต้น ก็จะทำให้สามเหลี่ยมทางการเงินของเราพังลงมาทั้งหมด

การลงทุนเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะเป็นการสร้างผลตอบแทนและรายได้ในรูปแบบที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อ โดยการใช้เงินทำงานแทนตัวเราในอนาคต และความเป็นจริงข้อนึงก็คือ ในชีวิตจริงคนเรามีเวลาทำงานหาเงินน้อยกว่าเวลาในการใช้เงิน ระยะเวลาในการทำงานของคนส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 35-40 ปี หากแต่เราต้องใช้ชีวิตถึงอายุ 70 – 80 ปี ช่วงเวลาหลังเกษียณเป็นช่วงที่เราต้องตระหนักมาก ๆ ว่าเราจะนำเงินก้อนไหนมาเลี้ยงตัว และจำนวนเงินเพียงพอที่จะรักษามาตรฐานการดำรงชีพหรือเปล่า หากเราสามารถสร้างผลตอบแทนในการลงทุนที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ ก็จะทำให้เรามีรายได้จากการต่อยอดการลงทุนแทนการทำงาน เป็นรายได้แบบ Passive ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างไม่เดือดร้อน

วางแผนการลงทุน

ขั้นที่ 5 การส่งมอบความมั่งคั่ง

คนทุกคนมีความสามารถในการหารายได้ และหากตัวเรามีภาระให้ต้องรับผิดชอบ เช่น การดูแลพ่อแม่ ดูแลบุตรหลาน ดูแลครอบครัว เป็นต้น การวางแผนทางการเงินในขั้นนี้จะมองไปที่การส่งมอบความมั่งคั่งให้กับคนข้างหลังในวันที่เราไม่อยู่แล้ว ดังนั้นให้เราทำการประเมินไว้ล่วงหน้าว่าคนเหล่านี้เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร ในกรณีที่เราไม่อยู่ อย่างน้อยก็ให้เขาสามารถดำรงชีวิตได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ไม่มีเรา

เครื่องมือในการส่งมอบความมั่งคั่ง สามารถใช้ประกันชีวิตในการวางแผนในขั้นตอนนี้ได้ เมื่อเราได้ปฏิบัติตามหลักการสามเหลี่ยมทางการเงินครบทั้ง 4 ขั้นตอนในเบื้องต้นแล้ว และเราก็อยู่บนเส้นทางของการเก็บออมเงินตามเป้าหมาย ซึ่งในระหว่างทางก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่หากเรามีประกันชีวิตเอาไว้ อย่างน้อยก็เป็นเงินมรดกจำนวนหนึ่งไว้ให้กับคนข้างหลัง โดยมีทุนประกัน หรือเงินก้อนจำนวนหนึ่งที่เราสามารถออกแบบได้ตามความต้องการว่าเราอยากให้เงินเขาเหล่านั้นไว้จำนวนเท่าไหร่

การส่งมอบความมั่งคั่ง ครอบคลุมไปถึง การวางแผนภาษีมรดก การทำพินัยกรรม ด้วยเช่นเดียวกัน

การวางแผนเกษียณ

จัดการภาษี  (TAX Planning)

ในการวางแผนทางการเงินตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 – 5 เราสามารถออกแบบให้มีการบริหารจัดการภาษีไปในตัวพร้อม ๆ กันได้ และเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะปกติหากเราสามารถออมเงินได้ 10% -20% ของรายได้ก็ถือว่าเป็นการออมเงินที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม แต่หลายท่านก็มีระดับการจ่ายภาษีที่ 20 % – 30% ของรายได้เข้าไปแล้ว หากเราได้มีการวางแผนในการจัดการภาษี ก็จะสามารถดึงเงินก้อนที่ต้องจ่ายภาษีนี้กลับมาเป็นเงินออมแทนได้ ด้วยการเสียภาษีให้น้อยที่สุดและถูกต้องตามกฎหมาย โดยอาศัยเครื่องมือจัดการภาษีในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การรับรายได้ หักค่าลดหย่อน เป็นต้น

สรุป

หลักการวางแผนทางการเงินด้วยสามเหลี่ยมทางการเงิน สามารถประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมกับทุกคนได้ในทุกช่วงวัย โดยในการวางแผนให้เราค่อยๆสร้างไปเป็นลำดับขั้นเริ่มจากฐานพีระมิดก่อน หรือบางท่านอาจมองเป็นเกมส์ เพื่อให้เกิดความสนุก ท้าทาย ในการฝ่าไปทีละด่าน ๆ และหากเราได้เริ่มสร้างพื้นฐานทางการเงิน รวมทั้งปลูกฝังแนวคิดนี้ให้กับเด็กรุ่นใหม่หรือบุตรหลานของเรา ให้เขามีความรู้ในการจัดการการเงินด้วยสามเหลี่ยมทางการเงิน ก็จะทำให้ชีวิตของคนที่เรารักมีความมั่นคงและมีภูมิคุ้มกันทางการเงินตั้งแต่วันนี้

และถึงแม้ว่าเราสามารถวางแผนทางการเงินได้ด้วยตัวเอง แต่เพื่อให้แผนการเงินของเรามีความสมบูรณ์ ปกป้องความเสี่ยงจากความไม่รู้ รวมทั้งเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงินได้มากยิ่งขึ้น   จึงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความเข้าใจในกระบวนการวางเเผนการเงิน จะทำให้เราเข้าใจในรายละเอียดที่มาที่ไปของแผนการเงิน หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ที่นำมาประกอบเป็นแผนของเราได้ดียิ่งขึ้น เปรียบเสมือนเการวางแผนด้วยตัวเองคือการเดินไปซื้อยาที่ร้านขายยา แต่การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคือการไปพบเเพทย์ที่โรงพยาบาลและได้รับการวินิจฉัยสาเหตุที่เเท้จริงของโรค โดยท่านสามารถปรึกษานักวางแผนการเงินหรือตัวแทนประกันชีวิตที่ดูเเลท่านอยู่ เพื่อแผนการเงินที่มีความสมบูรณ์และสามารถทำตามได้ทันที

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *