ในการลงทุนในหุ้นระยะยาวนั้น การทำความเข้าใจกับธุรกิจ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นแต่ละตัวนั้น มีความสำคัญเป็นอย่างมาก อันที่จริงมีหลากหลายวิธีที่จะทำความรู้จักกับธุรกิจที่เราสนใจ แต่วิธีที่ง่ายแบบ ลัด สั้น ตรง เพื่อที่จะมองเห็นภาพใหญ่ของธุรกิจทั้งหมด ในระยะเวลาไม่มากนัก นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะใช้การอ่านข้อมูลของบริษัทที่สนใจผ่านแบบฟอร์ม 56-1 ที่แต่ละบริษัทต้องเขียนขึ้นมาเพื่อนำส่งให้กับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (กลต)
ซึ่งเราปฎิเสธไม่ได้ว่าทักษะในการอ่านแบบฟอร์ม 56-1 เพื่อให้เข้าใจธุรกิจนั้น จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเป็นนักลงทุนในหุ้นระยะยาว กระนั้นหลายคนยังคงเจอปัญหาจากการอ่านแบบฟอร์ม 56-1 อาจจะเพราะไม่สามารถถอดใจความสำคัญออกมาได้ หรือไม่ทราบว่าจะต้องดูข้อมูลส่วนไหนก่อนหลัง ตรงไหนสำคัญ ตรงไหนไม่สำคัญ และในหลายบริษัทที่มีข้อมูลที่ค่อนข้างซับซ้อน ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายที่จะอ่าน
บทความนี้จะเป็นการสรุปแนวทางการอ่านแบบฟอร์ม 56-1 เพื่อทำความเข้าใจกับธุรกิจที่เราสนใจจะเข้าไปลงทุน โดยจะสรุปขั้นตอนสำคัญๆแต่ละจุด และคำถามต่างๆที่เราต้องค้นหา จัดเรียงเป็นรูปแบบ(Pattern) ให้ผู้ที่สนใจได้นำไปใช้ในการอ่านแบบฟอร์ม 56-1 ได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ลดเวลาในการอ่าน และไม่พลาดประเด็นสำคัญๆที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนในอนาคต
พร้อมเเล้ว มาเริ่มกันเลยครับ…
1. เริ่มจากการดาวน์โหลดแบบฟอร์ม
ดาวน์โหลดแบบฟอร์มและแตกไฟล์จากเวบ กลต.
– เข้าไปดาวน์โหลดไฟล์แบบฟอร์ม 56-1 ของบริษัทที่สนใจได้ที่ คลิก
– จากนั้นให้ทำการแตกไฟล์ ZIP
2. โฟกัสไปที่ไฟล์ ” Business “
โฟกัสไปที่ไฟล์ที่มีชื่อว่า “Business”
หลังจากแตกไฟล์แล้วจะมีไฟล์อยู่ภายในนั้นออกมาหลายไฟล์ แต่ให้โฟกัสไปที่ 2 ไฟล์สำคัญ คือ ไฟล์ที่มีชื่อว่า Business (สำคัญสุด) และไฟล์ที่มีชื่อว่า Financial (เอาไว้อ่านประกอบ)
3. ดู เป้าหมาย วิสัยทัศน์ และพันธกิจ
บริษัทส่วนใหญ่จะประกาศไว้ชัดเจนว่า มีเป้าหมายที่จะเป็นอะไร มุมมองอนาคตเป็นอย่างไร รวมถึงภารกิจสำคัญของบริษัทคืออะไร ซึ่งโดยมากแล้วจะเป็นคำสั้นๆ สวยๆ แสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ ในส่วนนี้เราสามารถดูเพื่อให้รู้คร่าวๆถึงภาพรวมของบริษัทแบบรวบรัด แต่อย่าไปใส่ใจอะไรมากนัก เพราะยังบอกอะไรไม่ได้ถึงผลการดำเนินงานของธุรกิจ
ส่วนนี้จะถูกเขียนไว้ในส่วนที่ 1 นโยบายและภาพรวมการประกอบธุรกิจ
4. ค้นหาว่าธุรกิจทำมาหากินอะไร
นี่คือข้อมูลสำคัญที่สุด ขอให้ให้ความสนใจให้มากๆ ข้อมูลตรงจุดนี้ทำให้เรารู้ได้เลยว่าธุรกิจมีสินค้า(ผลิตภัณฑ์) กี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มมียีห้อ(แบรนด์) อะไรบ้าง หรือหากเป็นธุรกิจบริการเราก็จะรู้ได้ทันทีว่าธุรกิจให้บริการอะไร มีกี่สาขา ที่ไหนบ้าง
โดยมากข้อมูลส่วนนี้ จะอธิบายลึกลงไปถึงประโยชน์ใช้สอย รวมถึงคุณสมบัติที่สำคัญๆของผลิตภัณฑ์แต่ละอย่าง ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราไม่ควรมองข้าม เพื่อจะได้ทำความรู้จักกับธุรกิจให้ได้มากที่สุด
ในกรณีธุรกิจมีหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์หรือบริการ ข้อมูลตรงส่วนนี้อาจจะมีการขยายความให้ว่าแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นมีลูกค้าเป้าหมายคือใคร มีไลฟ์สไตน์แบบไหน ก็จะทำให้เราเห็นภาพของธุรกิจกว้างขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ส่วนนี้จะถูกเขียนไว้ในส่วนที่ 2 ลักษณะการประกอบธุรกิจ
5. สินค้าหรือบริการ มาจากไหน
การข้ามมาอ่านส่วนนี้ หลังจากที่เราทราบว่าธุรกิจทำมาหากินอะไรแล้วนั้น จะทำให้เราเชื่อมต่อข้อมูลได้ว่า ที่มาที่ไปของผลิตภัณฑ์ หรือบริการของธุรกิจนั้นๆมาได้อย่างไรเช่น สินค้ามีการผลิตที่ไหน กำลังการผลิตเท่าไหร่ วัตถุดิบเอามาจากไหน กว่าจะเริ่มผลิตต้องตระเตรียมอะไรบ้าง เราจะมองเห็นภาพต้นน้ำของผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ส่วนนี้จะถูกเขียนไว้ในหัวข้อย่อย “การจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการ”
6. ลูกค้าของเขาคือใคร
ข้อมูลนี้ ในแบบฟอร์ม 56-1 สามารถค้นหาคำตอบได้ 2 จุด
1.ขณะที่เราอ่านเนื้อหาส่วนที่ 2 นั่นคือลักษณะการประกอบธุรกิจ จะมีคำอธิบายถึงกลุ่มลูกค้าในแต่ละผลิตภัณฑ์หรือบริการไว้ให้แล้วหรือถ้าไม่มีเราก็สามารถหาได้จาก ข้อ 2
ส่วนนี้จะถูกเขียนอธิบายไว้ในส่วนที่ 2 ลักษณะการประกอบธุรกิจ
2.ในหัวข้อ “กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย” ที่แทรกไว้ในหัวข้อใหญ่ 2.2 “การตลาดและการแข่งขัน” จะมีการลิสต์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายออกมาเป็นข้อๆ ค่อนข้างชัดเจน
7. รายได้หลักมาจากไหน
ข้อมูลส่วนนี้จะเป็นการเจาะลงไปว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีหลากหลายผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น สินค้าตัวใดที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจนั้นได้มากที่สุดแบบมีนัยสำคัญ ข้อมูลตรงนี้สำคัญมากๆ ต่อการตัดสินใจลงทุนในแต่ละครั้ง เพราะบางครั้งเราอาจได้รับข่าวสารหรือเหตุการณ์ด้านลบเกี่ยวกับบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่(หรือกำลังจะซื้อหุ้น) แต่เหตุการณ์ด้านลบที่ว่านั้นกระทบกับรายได้ส่วนน้อยของบริษัท(ไม่ใช่รายได้หลัก) กรณีแบบนี้หลายครั้งที่ส่งผลให้ราคาหุ้นตกลงอย่างมากจนเกิดโอกาสในการเข้าซื้อ หากเราไม่ทราบอาจทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดได้ (ทั้งขายออก หรือไม่ซื้อเพิ่ม)
ข้อมูลนี้ จะอยู่ในส่วนที่ 2 ลักษณะการประกอบธุรกิจ โดยให้มองหา ตารางที่มีชื่อว่า “โครงสร้างรายได้” และมองหา % รายได้รวมของแต่ละผลิตภัณฑ์หรือบริการ จะบอกไว้ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการอะไรที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจมากที่สุดแบบมีนัยสำคัญ
8. กลยุทธ์การทำตลาดเป็นอย่างไร
ซึ่งก็คือ การตลาด การแข่งขันและกลยุทธ์
มี 3 ส่วนหลักๆให้พิจารณานั่นคือ การทำการตลาดของธุรกิจ ภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมและกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทนั้นๆ
ควรทำความเข้าใจกับทั้ง 3 ส่วน โดยเริ่มจากส่วนของการตลาดก่อน ควรมองหาว่าแต่ละบริษัทมีนโยบายในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่ส่งจะผลต่อการเติบโตของธุรกิจและสามารถขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในอนาคตอย่างไรได้บ้าง เราอาจตรวจสอบคร่าวๆว่าที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำตามสิ่งที่ได้วางแผนไว้ได้หรือไม่ หากทำได้ ก็จะทำให้เรามั่นใจในแผนปัจจุบันของบริษัทมากขึ้น
ส่วนต่อมาคือสภาพการแข่งขัน จะเน้นไปที่คู่แข่ง ให้ดูว่าตัวธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันมากน้อยแค่ไหนหากเปรียบเทียบกับคู่เเข่งที่มีอยู่ในตลาด
ในส่วนของกลยุทธ์ในการดำเนินงานก็สามารถมองหาได้จากส่วนนี้ กลยุทธ์สามารถเป็นไปได้หลากหลายรูปแบบเช่น การทำสินค้าให้ตอบโจทย์ การขยายฐานลูกค้า การพัฒนาความสัมพันธ์กับคู่ค้าเป็นต้น โดยกลยุทธ์ทั้งหมดควรจะเป็นไปเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของบริษัทให้คงอยู่หรือเพิ่มขึ้น
9. ความเสี่ยงคืออะไร
ส่วนนี้จะมีการชำแหละความเสี่ยงแต่ละอย่างออกมาเป็นข้อๆ ให้พิจารณาดูว่าความเสี่ยงเหล่านี้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการได้หรือไม่ และในกรณีเลวร้ายที่สุดจะเกิดผลเสียหายกับธุรกิจอย่างไร เพื่อให้เราสามารถประเมินได้ว่า เวลาธุรกิจไปประสบกับปัญหาบางอย่างที่เกิดจากความเสี่ยงเหล่านี้ จะเกิดความเสียหายกับมูลค่าของธุรกิจมากน้อยแค่ไหน
หัวข้อเหล่านี้จะถูกเขียนไว้ในส่วนที่ 3 “ปัจจัยความเสี่ยง”
สรุป
จะเห็นว่าการลงทุนในหุ้นนั้น การค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูล เป็นขั้นตอนที่จำเป็นที่จะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ และลดโอกาสผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด ดังนั้นทักษะในการอ่านและทำความเข้าใจธุรกิจจากแบบฟอร์ม 56-1 จึงยังเป็นทักษะที่นักลงทุนในหุ้นทุกท่านจำเป็นต้องมี