วันที่ 15 ตุลาคม 2561 ณ โรงพยาบาลเเห่งหนึ่ง
“หมอจะจ่ายยาลดไขมันในเลือดให้คุณนะ” หมอพูดเรียบๆ เหมือนเป็นเหตุการณ์ปกติทั่วๆไป
บรรยากาศในห้องตรวจ เงียบไปครู่หนึ่ง
“ผมต้องกินยา….” ผมถามหมอกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
“ใช่ครับ เป็นยาลดไขมันในเลือด ยาตัวนี้จะไปช่วยให้ระดับคอเรสเตอรอล และไขมันเลวที่เกินอยู่ของคุณกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ” หมออธิบายเพิ่มเติม คงสังเกตุเห็นสีหน้าของผมไม่สู้ดีนัก
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” หมอถามย้ำ
จะว่าไปผมไม่มีปัญหาอะไรกับการกินยาหรอกครับ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมคิด (ไปเอง) นะครับว่า การกินยาเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ อีกอย่างผมเองก็ไม่รู้ด้วยว่ากระบวนการทำงานของยาที่เรากินเข้าไปนั้น มันไปจัดการที่ต้นตอของปัญหาหรือเปล่า แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ผลเลือดของผมอาจจะดีขึ้นและกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ผลลัพธ์นี้มันเกิดมาจากประสิทธิภาพการจัดการของร่างกายผมหรือเกิดจากการพึ่งยา และถ้าเมื่อไหร่ผมหยุดกินยา ผมก็ไม่แน่ใจอีกว่า ระดับไขมันในเลือดที่เคยสูงเกินเกณฑ์ปกติมันจะกลับมาอีกไหม
เดิมทีผมเริ่มเข้ารับการตรวจรักษาด้วยอาการโรคเก๊าท์ครับ และในการตรวจวินิจฉัยเก๊าท์ก็ต้องมีการตรวจเลือดซึ่งก็คือปริมาณกรดยูริกในร่างกาย ผมตั้งใจที่จะตรวจติดตามระดับกรดยูริกนี้ในทุกๆ 3-4 เดือนอยู่เเล้วเพราะพยายามระมัดระวังไม่ให้มันเกิดอาการปวดขึ้นอีก (ท่านใดเป็นเก๊าท์คงทราบดีนะครับว่าเวลาปวดขึ้นมามันทรมาณแค่ไหน) และในเมื่อมีการเจาะเลือดไปแล้ว ด้วยวัย 40 กว่าปี ที่เป็นวัยที่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับไขมันในเส้นเลือดด้วยนี่ ผมก็เลยขอให้มีการวัดระดับคอเรสเตอรอลไปด้วยเลย
ว่าที่จริงผมเป็นคนที่ดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายมาโดยตลอดครับ ผมสมัครสมาชิกฟิตเนสมาตั้งแต่ปี 2014 และเล่นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยกีฬาที่ผมหลงไหลในช่วงนั้นคือการเพาะกายครับ ดังนั้นผมจะเน้นในเรื่องของการเล่นเวทเป็นหลัก แต่ด้วยที่ว่าผมได้รับความรู้มาแบบผิดๆ นั่นคือการเล่นเวทมันต้องเล่นให้หนักเพื่อให้กล้ามเนื้อโดนทำลายและมีการสร้างขึ้นมาทดแทน และในขณะเดียวกันก็ต้องกินให้หนักด้วย เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้มากที่สุดโดยไม่ต้องสนใจเรื่องความอ้วน เพราะในที่สุดเมื่อมีกล้ามเนื้อมากพอเเล้ว เราค่อยเข้าสู่กระบวนการรีดไขมันออกได้
ประเด็นหลังนี่แหละที่ผมพลาดไปเต็มๆ เพราะการกินหนักของผม ก็คือผมกินแบบไม่บันยะบันยังครับ ข้าวขาหมู หูหมู ข้าวมันไก่ ของทอด ขนมไทย น้ำอัดลมนี่เรียกว่าอย่างน้อยต้องวันละ 1-2 กระป๋อง บางครั้งก็ลามไปกินเบียร์ด้วย เพราะเคยได้ยินมาว่ากินเบียร์จะช่วยให้อ้วน เรียกได้ว่าตอนนั้นเป้าหมายหลักคือต้องเพิ่มน้ำหนักให้ได้ถึง 100 กก. จาก 60 กก. โดยไม่สนใจว่าอาหารที่บริโภคเข้าไปนั้นจะมีคุณภาพหรือเปล่า
หากแต่เหตุการณ์ทั้งหมดมาหยุดอยู่ในวันที่ผมมีน้ำหนัก 75 กก
คือตอนนี้ครับ
หากท่านใดอยู่ในสายเพาะกายก็คงทราบดีครับว่า แบบนี้มันไม่ใช่แล้ว การเพิ่มน้ำหนักมันก็ต้องเลือกกินด้วย แต่ทำไงได้ครับ ในเวลานั้นไม่มีใครมาบอกผม และถึงแม้ว่ามีคนมาบอก ผมก็คงไม่เชื่อครับ เพราะผมมั่นใจว่าการเล่นเวทสัปดาห์ละ 3-4 วัน และแต่ละครั้งที่เล่นเหงื่อก็ออกท่วมตัวขนาดนั้น ไขมันที่ไหนมันจะอยู่ได้ มันก็ต้องโดนเผาผลาญไปหมดแน่นอนจริงไหม และนี่คือความเข้าใจแบบผิดๆของผมข้อที่หนึ่ง
ผมมาตระหนักว่า ผลเลือดผมเริ่มมีปัญหาจากการเข้ารับการตรวจรักษาเก๊าท์ครั้งแรกเมื่อ ราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี พศ.2561
และในการตรวจครั้งนั้นก็มีการเช็คระดับคอเรสเตอรอลไปด้วย ผลปรากฎว่าทุกอย่างสูงเกินเกณฑ์ หมอเริ่มถามผมว่าคุณจะจัดการกับมันยังไง
แน่นอนครับว่า หมอเสนอให้ผมกินยาลดไขมันตั้งแต่วันเเรกที่ตรวจเจอระดับคอเรสเตอรอลเกินเกณฑ์ปกติ และก็แน่นอนอีกเช่นกันว่าผมไม่รับข้อเสนอนั้นแต่ผมขอไปจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเองก่อน
ดังนั้นประสบการณ์ในการลดน้ำหนักของผมจะเเบ่งเป็นสองช่วงครับ
ช่วงเเรก จะเริ่มตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ พศ. 2561 ถึง ตุลาคม พศ. 2561
ผมลดน้ำหนักด้วยตัวเองจาก 75 เหลือราว 64 กก. ด้วยการคุมอาหาร (แบบที่ผมเข้าใจ) โดยการลดปริมาณอาหารลงเช่น ไม่กินมื้อเย็น แต่มื้อเช้าและกลางวันยังกินปกติ และเพิ่มเรื่องของการรีดไขมันโดยการทำคาร์ดิโอด้วยการเดินสายพานหลังการเล่นเวทเกือบทุกครั้ง เรียกได้ว่า ในเวลานั้นผมยุติเรื่องของการเพิ่มน้ำหนักให้ได้ตามเป้าแล้ว หันมาทำการรีดไขมันเพื่อทำให้กล้ามเนื้อชัดตามสูตรนักเพาะกายครับ และผมก็เชื่อมั่นว่าวิธีนี้จะช่วยให้ผลเลือดของผมดีขึ้น
แต่จนแล้วจนรอดก็มาลงเอยด้วยคำพูดของหมอในตอนต้นบทความครับ นั่นคือผมต้องกินยาลดไขมัน
การลดน้ำหนักด้วยตัวเองในช่วงเเรก ผมสามารถลดลงมาได้ร่วม 10 กก. ครับ คือจาก 75 กก. เหลือ 64 กก.
นี่คือรูปตอนลดเหลือ 64 กก.
แต่ปัญหาไขมันในเลือดมันไม่ได้ถูกเเก้เพียงเพราะว่าน้ำหนักลดครับ และนี้นำไปสู่ความเชื่อผิดๆข้อที่สองของผมนั่นคือ “หากเราผอม เราจะไม่มีปัญหาคอเรสเตอรอล”
และนี่คือผลเลือดที่ผมได้รับในวันที่ 15 ตุลาคม 2561 ครับ
“หมอครับ ผมขอโอกาสอีกครั้ง” ผมต่อรองกับหมอ
ภายในใจก็ยังนึกไม่ออกว่าจะไปจัดการกับคอเรสเตอรอลในเลือดได้ยังไง ในเมื่อผมก็พยายามด้วยตัวเองจนสามารถลดนน. ลงมาได้ถึง 10 กก. แต่ในใจผมก็ยังเชื่อมั่นว่ามันต้องมีวิธีที่ร่างกายของคนเรามันต้องจัดการตัวเองได้ ผมเชื่อ และจะหาวิธี
“อะ ก็ได้ แต่ถ้ามารอบหน้าผลเลือดยังไม่ดีขึ้นอีก คุณต้องกินยาตามหมอสั่งแล้วนะ” หมอพูดพร้อมอมยิ้ม คงคิดในใจว่าเจอคนไข้จอมดื้อเข้าให้เเล้ว
ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มหมอตอนนั้นเหมือนซ่อนความท้าทายอะไรบางอย่างอยู่
—— —— —— ——
31 ตุลาคม 2561
“หมูต้องจัดการเรื่องการกินให้ได้ก่อน” พี่ต่อ รุ่นพี่ที่ผมไปขอคำปรึกษา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น นาทีนั้นผมยังไม่เชื่อและไม่มีความมั่นใจว่าจะมีวิธีที่ดีกว่าที่ผมเคยทำมา แต่ผมก็สังเกตเห็นความเป็นไปได้อยู่ในแววตาที่พี่ต่อมองมาที่ผม
“ถ้าเราจัดการกับระบบเผาผลาญของร่างกายเราได้ เราก็จะสามารถลดน้ำหนักพร้อมทั้งจัดการกับไขมันในเลือดที่เป็นปัญหาอยู่ได้ และที่สำคัญคือ มันมีวิธี” พี่ต่อพูด
“อ่า ครับ ระบบเผาผลาญ” ผมพูดทวนด้วยน้ำเสียงติดอยู่ในลำคอ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
นาทีนั้นผมไม่รู้จริงๆครับว่าสิ่งที่พี่ต่อพูดมันคืออะไร เเล้วมันจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เป็นอยู่นี้ได้ยังไง
ได้ยินแต่เสียงหมอวนๆอยู่ในหัว “ครั้งหน้าต้องกินยา” “ครั้งหน้าต้องกินยา” เอาจริงๆนาทีนั้นมันก็เหมือนหมดหนทางแล้ว และเนื่องด้วยผมมีระยะเวลาอีกแค่สามเดือนก่อนจะพบหมอเพื่อเข้าตรวจในครั้งหน้า
.
.
.
“อะ พี่ ผมต้องทำอะไรบ้าง ว่ามา” ผมตัดสินใจให้พี่ต่อ เข้ามาให้คำแนะนำปรึกษา และวางแผนการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ให้กับผมภายในระยะเวลา 2 เดือน นับจากนี้
—— —— —— ——
วันที่ 24 ธันวาคม 2561
“คุณไปทำอะไรมา” หมอถาม พร้อมกับมองไปที่จอคอมพิวเตอร์ ในขณะที่มืออีกข้างสครอลเม้าท์เลื่อนหน้าจอเพื่อดูผลเลือดล่าสุดของผม
“คุมอาหารครับหมอ” ผมตอบเรียบๆ เม้มปากเล็กน้อย ในใจเเอบคิดอยากจะบอกว่า “จริงๆทำมากกว่านี้ครับ”
“งั้นเรื่องไขมันไม่ต้องกินยาแล้วนะ เก๊าท์ละเป็นไงบ้างกำเริบมั้ย” หมอถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“สองเดือนมานี้ ยังไม่มีอาการครับ”
ผมเดินออกจากห้องตรวจด้วยอาการโล่งใจ และรู้สึกขอบคุณอวัยวะภายในทุกๆส่วนในร่างกายของผม ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกที่เชื่อมั่นว่า ร่างกายของคนเรามันย่อมจัดการตัวมันเองได้ ด้วยความคิดนี้ตั้งแต่เเรกทำให้ผมไม่ยอมแพ้และพยายามหาวิธี
และในที่สุดผมก็เจอมัน วิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง การจัดการกับระบบเผาผลาญภายในร่างกายของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งยา มันมีกระบวนการ และวิธีการที่เป็นขั้นตอน เชื่อถือได้ สอดคล้องตามหลักเหตุผล และที่สำคัญมันเป็นวิทยาศาสตร์ มันพิสูจน์ได้ อันที่จริงวิธีการนี้ก็ได้รับการทดสอบจากผู้คนจำนวนมากมาแล้ว เพียงแต่ผมเพิ่งมาพบมัน แค่นั้นเอง
และนี่คือผลเลือดที่หมอได้ตรวจวินิจฉัยผมในวันที่ 24 ธค.2561ครับ
จะเห็นว่าภายในระยะเวลา 2 เดือน
ระดับคอเรสเตอรอลในเลือด ลดลง จาก 294 เหลือ 224
ระดับไขมันเลว (LDL) ลดลงจาก 226 เหลือ 165
ระดับไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ลดลงจาก 129 เหลือ 67
เเละที่สำคัญ ค่าตับทั้งสองค่า (SGOT , SGPT) ที่เกินมาตรฐานอยู่เเละเป็นที่มาของโรคไขมันพอกตับ ก็ลงมาเป็นปกติทั้งคู่
SGOT จาก 106 เหลือ 35
SGPT จาก 54 เหลือ 47
และน้ำหนักผมก็ลดลงต่ออีก 3 กก. ภายในระยะเวลา 2 เดือน จาก 64 กก. เป็น 61 กก.
ตามรูปด้านล่างนี้ครับ
ด้านล่างคือรูปเปรียบเทียบ ก่อนและหลังเข้าโปรแกรมครับ
ส่วนตัวผมมองว่าทั้งหมดที่ว่ามาไม่ว่าจะเป็นผลเลือด หรือ นน มันเป็นเพียงผลลัพธ์จากการจัดการไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat Rating) ครับ ตัวนี้ผมมองว่าเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เราสามารถลดน้ำหนักได้อย่าางถูกวิธี พร้อมกับได้เรื่องผลเลือดที่ดีขึ้นด้วย
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ระดับไขมันในช่องท้องของผมค่อนข้างสูงครับ อยู่ที่ประมาณ 9 ตามรูปข้างล่าง เเม้กระทั่งวันที่ผมสามารถลดน้ำหนักมาด้วยตัวเองจาก 75 เหลือ 65 แล้วก็ตาม ตัวเลขนี้มันก็ไม่ได้ลดลงตาม ส่วนตัวเลขที่บ่งบอกถึงความสามารถการเผาผลาญอาหารของร่างกาย (Metabolic Age) ก็เท่ากับคนอายุ 34 (ผมอายุ 43 ปี)
ตามรูปด้านล่างนี้ครับ
และภายหลังจากการออกจากโปรแกรมแล้ว ระดับไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ผมยังลดลงต่ออีก เหลือ 4 ในเดือน พฤษภาคม 2562 และเหลือเพียง 2 ในเดือน มิถุนายน 2562 (ตามรูปข้างล่าง) ซึ่งเป็นตัวเลขไขมันในช่องท้องที่เรียกได้ว่าต่ำมากๆ ร่างกายลีนสุดๆ ซึ่งยิ่งทำให้ผมเชื่อมั่นว่า นี่แหละมาถูกทางเเล้ว
สรุป
ในมุมมองของผม หากจะต้องเปรียบเทียบ 3 สิ่งนี้ว่าอะไรสำคัญที่สุด
3 สิ่งที่ว่านี้คือ อาหาร การพักผ่อน และ การออกกำลังกาย
จะว่าไปมันก็สำคัญพอๆกันครับ แต่หากจะให้จัดเรียงลำดับ ผมมองว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ การพักผ่อน ลำดับสองรองลงมาคือเรื่องของ อาหาร และก็การออกกำลังกาย มาเป็นลำดับที่สาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เราสนใจและพยายามแก้ปัญหาเรื่องของไขมันในเลือดหรือคอเรสเตอรอลนั้น คะเเนนย่อมตกมาที่ตัวเลือกการดูแล เเละจัดการเรื่องอาหารอย่างไม่ต้องสงสัย ที่ผมกล้าพูดแบบนี้เพราะส่วนตัวนั้น ในระยะเวลาประมาณหนึ่งปีมานี้ ผมออกกำลังกายด้วยการวิ่งครับ ผมต้องซ้อมวิ่งสัปดาห์ละประมาณ 30-40 กม. (ผมมีเป้าหมายจะวิ่งมาราธอนแรกตอนปลายปี 2562) และก็ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ด้วยสมมุติฐานที่ว่า หากเราวิ่งสัปดาห์ละ 30-40 กม. แต่เราไม่คุมอาหารเลย หมายถึงกินแบบไม่ต้องเลือก ผลเลือดเราจะออกมาเป็นอย่างไร สรุปคือเละครับ การออกกำลังกายแต่ไม่คุมอาหารไม่ช่วยเรื่องไขมันในเลือดแต่อย่างใด (อันนี้เฉพาะตัวผมนะ) แต่จะช่วยได้ในแง่การควบคุมและลดน้ำหนัก
พื้นที่ส่งต่อโซลูชั่น : หากคุณหรือคนที่คุณรักต้องการลดน้ำหนักหรือดูแลสุขภาพ ด้วยการฟื้นฟูระบบเผาผลาญและฮอร์โมน (แบบเดียวกับที่ผมทำ) สามารถมาพูดคุยปรึกษากันได้แบบสบายๆครับ อย่างน้อยก็ได้หลักการไปปรับใช้ ติดต่อผมได้โดย เพิ่มเพื่อนทางไลน์ หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมฟื้นฟูระบบเผาผลาญ