หากจะกล่าวว่า สมอง เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย ก็ดูจะเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงนัก เพราะถือได้ว่าสมองเป็นศูนย์บัญชาการหลักที่สั่งให้อวัยวะต่างๆของร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ หากร่างกายเราไร้ซึ่งสมอง หรือหากสมองหยุดทำงานเมื่อไหร่ก็เท่ากับว่าเราได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ดังนั้นการดูแลใส่ใจ ให้สมองของเราทำงานได้ดี มีความจำดี และสามารถผลิตความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างสม่ำเสมอ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเราเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจเรื่องของการดูแลสุขภาพด้วยแล้ว องค์ความรู้ในการดูแลสมอง และการปรับพฤติกรรมไม่ให้สมองเราเสื่อมไปตามวัย ก็ควรจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราควรทำความเข้าใจและนำไปปฎิบัติปรับใช้เพื่อให้การดูแลสุขภาพของเรานั้นมีความครบถ้วนรอบด้าน
บทความนี้ได้รวบรวมเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยทำให้สมองของคุณดี มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่หลงลืมง่ายสามารถใช้ได้ไปอีกนานมาฝากกันครับ
1. เลือกอาหารมีสารต้านอนุมูลอิสระ
เริ่มจากการบริโภคอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อลดกระบวนการเกิดอนุมูลอิสระภายในสมอง และไม่ให้อนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในสมอง ซึ่งเป็นเหตุให้เซลล์สมองตาย สารอาหารดังกล่าวสามารถได้มาจากอาหารจำพวก แปะก๊วย โคเอนไซม์คิวเท็น วิตามินซีและอี บลูเบอร์รี่ แบลกเบอร์รี่ สตรอร์เบอร์รี กีวี เชอร์รี่ ป๋วยเล้ง เป็นต้น
2. ฟังดนตรี มีอารมณ์ศิลปิน
ดนตรีมีอิทธิพลต่อความรู้สึก และอารมณ์ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการฟังดนตรี เล่นดนตรี การร้องเพลง ล้วนแต่มีส่วนช่วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ มีสมาธิ และความจำ โดยเฉพาะการร้องเพลงจะช่วยทำให้ปอดขยาย ส่งผลให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและสมองได้มากยิ่งขึ้น
3. จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ
การจดบันทึกในสิ่งที่ต้องทำ (To do list) จะช่วยให้ปัญหาต่างๆได้ผ่านกระบวนการจัดการความคิดภายในสมอง ซึ่งเป็นการจัดระเบียบและลำดับชีวิตที่ยุ่งเหยิงได้ดี เราอาจจะเริ่มต้นด้วยการจดบันทึกงานที่ต้องทำในวันรุ่งขี้นก่อนเข้านอน เป็นการช่วยจัดลำดับความสำคัญของงานด้วยว่างานชิ้นไหนต้องทำก่อนหลัง งานชิ้นไหนสำคัญกว่า เป็นต้น
4. กล้าทดลอง สิ่งใหม่ๆ
ลองทำอะไรใหม่ ๆ แปลก ๆ หรือลองแหกกฎระเบียบเดิม ๆ ในชีวิต สร้างสรรค์เส้นทางเชื่อมต่อใหม่ ๆ ให้แก่สมอง จะช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้ดีขึ้น เช่นกลับบ้านในเส้นทางใหม่ ๆ เดินไปตลาดแทนการขี่จักรยาน นอกจากสมองจะดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เสื่อมสภาพช้ากว่าคนที่ปฏิเสธทำอะไรใหม่ ๆ หรืออยู่กับสิ่งเดิม ๆ
5. ทำงานอดิเรก และกิจกรรมที่ชอบ
ลองทำอะไรใหม่ ๆ แปลก ๆ หรือลองแหกกฎระเบียบเดิม ๆ ในชีวิต สร้างสรรค์เส้นทางเชื่อมต่อใหม่ ๆ ให้แก่สมอง จะช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้ดีขึ้น เช่นกลับบ้านในเส้นทางใหม่ ๆ เดินไปตลาดแทนการขี่จักรยาน นอกจากสมองจะดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เสื่อมสภาพช้ากว่าคนที่ปฏิเสธทำอะไรใหม่ ๆ หรืออยู่กับสิ่งเดิม ๆ
6. ออกกำลังกายให้ได้เหงื่อ
การออกกำลังกายเป็นการคลายเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขอาการวิตกกังวล คลายเครียดได้เป็นอย่างดี การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาทในสมอง ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยให้เลือดไหลเวียนสู่สมอง ให้ได้รับออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคสซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสมอง และ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมยังช่วยเสริมการสร้างกลูตาไทโอน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันไม่ให้เซลล์สมองถูกทำลาย
7. มองโลกสดใส ใส่ใจเเง่บวก
มองโลกในแง่ดี ทำตัวให้มีความสุขเสมอ จะมีพลังสมองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง สมองจะหลั่งสารที่ทำให้รู้สึกดี และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน หากการมองโลกในแง่ร้ายเป็นประจำ จะส่งผลต่อการทำงานของสมอง สมองจะเล็กลง และพูสมองส่วนข้างจะทำงานแย่ลง ความจำแย่ลง จึงเห็นได้ว่าความคิดบวกลบในแต่ละวันต่างเกี่ยวพันเป็นลูกโซ่ใกล้ชิดกับสมองทั้งสิ้น
8. ปิดสวิตช์ โทรทัศน์
การดูโทรทัศน์เป็นเพียงการรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ ที่เผยแพร่จากโทรทัศน์ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้ใช้สมองแม้แต่น้อย การนั่งจ้องอยู่หน้าจอเป็นเวลานานวันละ 2 ชั่วโมงทุกวัน โดยลูกตาไม่ได้เคลื่อนไหว จะทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลงมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์สูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น แนะนำให้ลองหากิจกรรมที่ใช้สมองทำดูบ้าง ทำงานบ้าน ปลูกต้นไม้
9. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ใส่ใจการพัฒนา
การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะสร้างสะพานเชื่อมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในสมอง เมื่อสมองได้รับการใช้งานและการกระตุ้นอย่างเหมาะสม เซลล์ประสาทจะปล่อยกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเซลล์สมองให้ทำงานได้ดีอย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงต้องหมั่นใช้สมองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เรียนทำอาหาร รำไทเก๊ก การคบหาเพื่อนใหม่ ๆ เป็นต้น
10. สร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
หมั่นสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นคนในที่ทำงาน หรือ แม้แต่คนในครอบครัว การมีปฏิสัมพันธ์กัน เช่น การพูดคุย การให้ความรักความอบอุ่นกัน การเล่นเกมต่าง ๆ เป็นการกระตุ้นหรือฝึกใช้สมอง เพราะการที่เรานั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ ดูโทรศัพท์มือถือคนเดียว แต่ละวันพูดเพียงไม่กี่ประโยค ชีวิตเช่นนี้มีแต่จะทำให้สมองเฉื่อยชาลงเรื่อย ๆ
11. อย่าละเลยอาหารเช้า
จากการค้นคว้าของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ช่วงเวลาหลังกินอาหารเช้า 15 นาที เป็นช่วงที่กระเพาะและลำไส้จะย่อยและดูดซึมอาหารได้ดี สามารถดูดซึมสารอาหารและส่งต่อพลังงานไปยังสมอง ทำให้การทำงานในวันนั้นเต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ สมองปลอดโปร่ง ความจำดี ผลงานดี ซึ่งการกินอาหารเช้ามีความสำคัญต่อทุกเพศทุกวัยรวมถึงเด็กเล็กในวัยเจริญเติบโต อาหารเช้าส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางกายและทางสมอง ร่างกายเจริญเติบโต ความจำดี การเรียนดี สำหรับประเภทอาหารที่ควรเลือกทานอาหารที่มีโปรตีน ไข่ขาว เนื้อปลาสีขาว เพราะจะช่วยกระตุ้นสมองอย่างมีประสิทธิภาพได้ดี
12. เรียบเรียงปัญหา เขียนออกมาเป็นข้อๆ
คนทำงานเมื่อเกิดภาวะความเครียดสูง จะยิ่งทำให้สมองตื่นเต้น เครียดกับปัญหา หรือกับงานที่มากมายจนทำไม่เสร็จ แนะนำให้ลองเขียนปัญหาออกมาเป็นข้อ ๆ เพื่อจัดลำดับความสำคัญของงาน ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ทีละขั้น สมองจะได้ได้สงบ มีสติ ลดความเครียดลง ส่งผลให้ความคิดที่แจ่มใสขึ้น
13. สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
ระหว่างนั่งทำงาน หากรู้สึกตัวว่าเริ่มเหนื่อย เมื่อยล้า หรือสมาธิเริ่มลดลง แนะนำให้ลองหันไปพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานถึงข่าวประจำวัน หรือหนังเข้าใหม่ที่กำลังฮอตฮิต ไม่เพียงแต่ทำให้ช่วยกระตุ้นสมองได้รับข่าวสารใหม่ ๆ ยังกระตุ้นการตอบสนองทางความคิดอีกด้วย
14. อย่านั่งทำงานแบบก้นติดเบาะ
การนั่งทำงานติดเบาะเป็นเวลานาน ๆ ไม่ได้ช่วยทำให้สมาธิหรือประสิทธิภาพการทำงานนั้นดีขึ้น เพราะคนเรามักมีสมาธิต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่เกิน 90 นาที แนะนำให้ลองลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสาย พักดื่มน้ำ กาแฟ มองต้นไม้เขียว ๆ เหล่านี้เมื่อคุณกลับมาทำงานคุณจะมีสมาธิมากขึ้น จะทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
15. งีบกลางวัน มันดีมากๆ
การได้นอนพักเพียง 5-10 นาที ช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ เป็นการให้สมองได้ผ่อนคลายระยะหนึ่งจากการใช้สมาธิทำงานมาตลอดช่วงเช้า นอกจากทำให้สมองโปร่งโล่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ได้ผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยในเรื่องการคิด การตัดสินใจ การมีสมาธิมากขึ้นอีกด้วย
16. ต้นไม้สีเขียว เพิ่มพูนผลงาน
ลองหาต้นไม้เขียว ๆ มาวางในที่ทำงานดูบ้าง เพราะต้นไม้จะดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมา ช่วยให้สมองโล่งและแจ่มใสได้
17. ผลัดเปลี่ยนมาใช้ มือข้างที่ไม่ถนัด
ให้ลองฝึกฝนสมองซีกขวา เพราะซีกขวาจะทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ เช่น ลองฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัด หยิบตะเกียบ จับสิ่งของ ดูบ้าง จะช่วยทำให้สมองซีกขวาได้ทำงานปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ออกมา
18. ลองกลับบ้านเส้นทางใหม่ๆ
การทำอะไรแบบเดิม ๆ กินเมนูเดิม ๆ กลับบ้านเส้นทางเดิม ๆ ไม่ได้ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ แนะนำให้ลองเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ เช่น ลองกลับบ้านเส้นทางใหม่ดู เพื่อทำให้สมองได้คิด สังเกตุ เส้นทางใหม่ ๆ กระตุ้นให้สมองได้เกิดการจดจำ การพัฒนาจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น
19. ดูทีวี ให้มีประโยชน์
ลองหันมาดูรายการโทรทัศน์ประเภทสาระความรู้หรือรายการประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ เมื่อได้เรียนรู้ก็จะสามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้มาก หากได้ลองฝึกทำตาม นอกจากจะช่วยฝึกสมองให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ดี ๆ แล้ว ยังช่วยให้เราได้ทดลองทำอะไร ประดิษฐ์สิ่งของใหม่ ๆ ด้วยตนเองได้ด้วย และช่วยทำให้เราได้ภาคภูมิใจในสิ่งประดิษฐ์นั้นด้วย
20. จดบันทึกไอเดียปิ๊งเเว้บ
ความคิดที่เกิดขึ้นแวบเดียวในสมอง มักเป็นความคิดที่สร้างสรรค์สามารถนำไปต่อยอดจุดประกายความคิดและนำไปใช้ได้ดีเลยทีเดียว แต่ความคิดเหล่านี้มักเกิดขึ้นในเวลาปกติทั่ว ๆ ไป ดังนั้นควรพกสมุดบันทึกติดตัวไว้สักเล่มเพื่อจดบันทึกความคิดที่แวบขึ้นมาในสมองได้ทันที จดสะสมมาเรื่อย ๆ หยิบนำมาใช้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
21. เล่นเกมส์ฝึกสมอง
การฝึกเล่นเกมต่อคำ ใบ้คำ จะช่วยให้ความสามารถในการวิเคราะห์ และเชื่อมโยงความคิดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นผล หากเราได้หมั่นฝึกฝนการเชื่อมโยงความคิดวิเคราะห์ จะช่วยให้การพูดและหาเหตุผลขณะนำเสนอผลงานดียิ่งขึ้น รวมถึงได้เพิ่มความรวดเร็วในการตอบสนองได้ดีอีกด้วย
22. เป็นนักอ่านสะสมข้อมูล
การปลูกฝังนิสัยการอ่านข้อมูลที่หลากหลายประเภท และการรวบรวมข้อมูลเก็บสะสมไว้อย่างเพียงพอและเพียบพร้อม นอกจากทำให้สมองได้รับข้อมูลที่หลากหลาย ได้กระตุ้นความจำและการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ยังทำให้คุณมีความพร้อมในการนำเสนอความคิดเห็นหรือการนำไปใช้ในการพูดเสนอรายงานหน้าห้องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากทีเดียว
ได้น้ำดื่มที่สะอาด คงคุณค่าแร่ธาตุ | เฉลี่ยลิตรละเพียง 1.66 บาท ประหยัดเงินกว่า 17,990 บาทต่อปี | ลดปริมาณขยะขวดพลาสติกกว่า 10,000 ขวดต่อใส้กรองหนึ่งชุด (5,000 ลิตร)เครื่องกรองน้ำอีสปริง